ฟอร์ดเพิ่มผลิตเรนเจอร์ตอบรับความต้องการลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
- advancedbizmagazine
- 1 ธ.ค. 2558
- ยาว 1 นาที

ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ประกาศลงทุนเพิ่ม 186 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,269 ล้านบาท) ณ โรงงาน ฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) ในจังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ รองรับความต้องการของลูกค้า
ปัจจุบัน ฟอร์ดผลิตรถกระบะรุ่นเรนเจอร์ ณ โรงงาน ออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะยังคงเป็นโรงงานหลักของฟอร์ดในการผลิตรถฟอร์ด เรนเจอร์ ให้แก่ตลาดลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป
จากการคาดการณ์ว่าโรงงานเอเอทีจะดำเนินการผลิตรถฟอร์ด เรนเจอร์ เต็มหรือใกล้เต็มกำลังการผลิตในอนาคตอันใกล้นี้ ฟอร์ดจึงได้ลงทุนเพิ่มความสามารถในการผลิตรถกระบะเพิ่มเติมที่โรงงานเอฟทีเอ็ม
“การลงทุนเพิ่มเติมและการเพิ่มความสามารถในการผลิตฟอร์ด เรนเจอร์ ครั้งนี้ จะช่วยให้เราตอบสนองต่อความต้องการรถฟอร์ด เรนเจอร์ ที่มีอยู่อย่างล้นหลามในขณะนี้ได้ดียิ่งขึ้น” นายมาร์ค คอฟแมน ประธานฟอร์ด อาเซียน กล่าว
ฟอร์ดได้เปิดตัวรถกระบะสไตล์แกร่งฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถกระบะด้วยการนำเสนอความเพียบพร้อมทั้งด้านสมรรถนะในการขับขี่ ความประณีตหรูหรา และเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งปัจจุบัน ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่วางจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก สามารถครองตำแหน่งผู้นำในเซกเม้นต์ได้ในหลายประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งในฟิลิปปินส์ พม่า เวียดนาม ในทวีปยุโรป และประเทศนิวซีแลนด์
สำหรับประเทศไทย ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเซกเม้นต์ที่มีการแข่งขันสูงนี้
อนึ่ง การลงทุนขยายโรงงานเอฟทีเอ็มครั้งนี้ ประกอบด้วยการจัดสรรพื้นที่ในแผนกขึ้นรูปตัวถังและการประกอบรถยนต์ในขั้นตอนสุดท้ายของโรงงานเอฟทีเอ็มให้รองรับการผลิตรถฟอร์ด เรนเจอร์ โดยเฉพาะ และเพิ่มความสามารถของแผนกพ่นสีเดิมให้รองรับการผลิตรถกระบะด้วย
ปัจจุบัน โรงงานเอฟทีเอ็มผลิตรถยนต์ ฟอร์ด โฟกัส ฟอร์ด เฟียสต้า และฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต โดยมีกำลังการผลิตรวม 180,000 คันต่อปี โรงงานเอฟทีเอ็มติดตั้งสายการผลิตแบบอัตโนมัติที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุด และใช้ระบบการดำเนินงานและกระบวนการผลิตตามมาตรฐานระดับโลกของฟอร์ด
โรงงานซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 750,000 ตารางเมตรแห่งนี้ เป็นโรงงานที่พร้อมรองรับทั้งงานประกอบตัวถัง ทำสี และการประกอบรถยนต์ขั้นสุดท้าย โดยปฏิบัติงานภายใต้มาตรฐานด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของฟอร์ดในทุกขั้นตอน อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีโดดเด่นมากมาย เช่น เครื่องปั๊มรูปโลหะความเร็วสูงระดับต้นๆ ของโลก และเทคโนโลยีล่าสุดในการประกอบตัวถังรถด้วยหุ่นยนต์
ส่วนโรงทำสีของเอฟทีเอ็มได้นำเทคโนโลยีการพ่นสีแบบ “3-Wet” ของฟอร์ดมาใช้เพื่อเสริมคุณภาพ ความสวยงาม และความทนทานให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และของเสียอื่น ๆ นอกจากนี้ โรงงานแห่งนี้ยังมีระบบบำบัดน้ำเสียในตัวและใช้ไฟส่องสว่างแบบประหยัดพลังงาน ตัวอาคารออกแบบให้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากแสงอาทิตย์ ใช้แรงลมระบายอากาศตามธรรมชาติ และเลือกใช้ทั้งวัสดุในท้องที่และวัสดุรีไซเคิล
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
“การที่ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องบนเวทีโลก ทำให้ฟอร์ดได้รับโอกาสที่ดีจากการมีแรงงานท้องถิ่นที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดและเสริมศักยภาพให้กับฐานปฏิบัติงานของเราที่มีอยู่ในประเทศไทยต่อไป” นายคอฟแมน กล่าว
Comments