พรเทพ วัชรอำนวย ทุกอย่างถ้ามองว่าเป็น “โอกาส” ก็จะเป็น “โอกาส”
- advancedbizmagazine
- 3 ส.ค. 2558
- ยาว 2 นาที

นักธุรกิจน้อยคนนักที่มีชีวิตการทำงานสองรูปแบบอยู่ในตัว ยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงด้วยแล้วหาได้น้อยนัก สไตล์การบริหารแบบถึงลูกถึงคน แต่มีแนวคิดและวิธีบริหารแบบมืออาชีพที่สุขุมนุ่มลึกในการบริหารงาน ซึ่งสไตล์ทั้งสองแบบ นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว การบริหารย่อมเหนือกว่าผู้อื่น เรามาทำความรู้จักกับ นักธุรกิจไฟแรง พรเทพ วัชรอำนวย ประธานบริหารสายงานการขายและโลจิสติกส์ บริษัท แอดไวซ์โฮลดิ้งกรุ๊ป จำกัด
พรเทพ วัชรอำนวย ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของ Advice ดูแลรับผิดชอบในการกำหนดกลยุทธ์ และ บริหารช่องทางจัดจำหน่ายผ่านเครือแอดไวซ์ (Advice family)ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้เจ้าของแบรนด์สินค้าและเลือกร้านค้า Advice เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า ดูแลทั้ง Logistic และ Service ช่องทางการจำหน่ายสินค้าในเครือที่จัดจำหน่ายอยู่ทั้งหมด เช่น IT , Smartphone , Network , CCTV และอื่น ๆ ปัจจุบันตลาดRetail ของ Advice ครอบคลุมพื้นที่กว่า 300แห่งทั่วประเทศรวมไปถึงประเทศลาว พร้อมปรับตัวเข้าสู่AEC
ก่อนหน้าที่จะเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารให้ Advice นั้น พรเทพ วัชรอำนวย เคยร่วมบุกเบิกธุรกิจไอทีกับทาง บริษัท เอซุส เทค คอมพิวเตอร์(ประเทศไทย) มากกว่า 10 ปี ในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ดูแลประเทศไทย พม่า และลาว ซึ่งสามารถนำพาเอซุสขึ้นเป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์ชั้นนำของประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า

“ผมเคยอยู่ บริษัทเอซุสเทคคอมพิวเตอร์(ประเทศไทย)จำกัด จากประเทศไต้หวัน 10กว่าปีและเป็นคนแรกของเมืองไทยสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาจนคนรู้จัก โดยเริ่มจากโน๊ตบุ๊ค 1 เครื่องทำงานที่บ้านแล้ววางแผนว่ามันจะเป็นอะไรในอนาคตถามว่ายากไหมคือต้องคิดเองทำเอง แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นแรก ของ Office ก็ต้องไปหาซื้อด้วยตัวเอง อุปกรณ์ออฟฟิศทุกอย่างต้องทำเองตั้งแต่ระบบบัญชีระบบบุคคลเป็นทั้งฝ่ายบัญชี , ฝ่ายบุคคล , ฝ่ายการตลาด ต้องได้เป็นทุกอย่างในคนคนเดียว ทั้งยังเป็นคนเทรนสินค้า และต้องเดินทางไปทุกภาคของเมืองไทยดูแลธุรกิจเอซุสตั้งแต่เริ่มแรกจนสุดท้ายทำได้6,000 กว่าล้านบาทต่อปี ถือว่าผมได้เป็นที่ยอมรับในธุรกิจไอทีว่าได้สร้างอะไรที่ น้อยคนเคยสร้างและสร้างได้เป็นสิ่งที่คนในตลาดไอทีเป็นที่ยอมรับนั่นเป็นผลงานที่ภาคภูมิใจของผม”
“นอกจากนี้ ปัจจุบัน ผมเป็นเจ้าของบริษัท เกี่ยวกับ อินดัสเตรียลเน็ตเวิร์ค Industrial Network โดยได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และ อีกต่ำแหน่งหนึ่ง คือ กรรมการเอเชียตะวันออก ของ หอการค้าไทย
ผลประกอบการถ้าเป็นของAdvice ยอดขายประมาณ 12,000 - 13,000 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งปัจจุบัน เป็นธุรกิจไอที ที่ยอดขาย อันดับ 1 ของไทย มีตั้งแต่สินค้า IT,โน๊ตบุ๊ค ,กล้อง CCTV, เน็ตเวิร์คกิ้งหลอดไฟ ขณะนี้กำลังพัฒนาธุรกิจออนไลน์ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคกำลังจะเปลี่ยนแปลง
สำหรับหลักการทำงาน ส่วนใหญ่ผมได้จากการที่ผมได้มีโอกาสทำงานกับ ต่างประเทศ โดยจุดใหญ่ซึ่งเป็นการมองมุมกว้าง พร้อมทั้งมองให้ลึก และละเอียด คือ 1.มองที่ตัวเอง เพื่อรู้จักตัวเอง ผมคิดว่าทุกคนมีฝันว่าอยากเป็นโน่นนี่ แต่สุดท้ายอาจจะเป็นเพียงฝันได้ ดังนั้น เราควรต้องหันกลับมามองที่ตัวเองว่า ต้องพัฒนาอะไรบ้าง เพื่อจะปรับปรุง เพื่อไปให้ถึงฝัน ปรัชญาที่ระดับบริหารของ ASUS ถามพนักงานในการประชุมแต่ละครั้งใช้ถามคือ “ Who are you ” เพื่อให้เราต้องรู้ตัวตน
2. ดูพื้นฐานทุกอย่าง และมองเหตุผลที่ต้นเรื่องตามหลักพุทธศาสนาคือไปดูที่เรื่องเหตุมากกว่าผล วิธีสื่อสารคือ “Look into the fundamental ” ถ้าไปอิงสไตล์ไทย ๆคือไป “ดูที่เหตุมากกว่าผล”
บุคคลต้นแบบของ พรเทพ วัชรอำนวย คือ ลีกาชิง โดยเล่าความประทับใจของบุคคลต้นแบบของเขาว่า “ผมชื่นชอบลีกาชิงโดยมีแรงจูงใจ และประทับใจมาจาก ตอนที่ผมไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมได้มีโอกาสไปรับประทานข้าวกับชาวแต้จิ๋วที่ได้รบเชิญจากทั่วโลกโดยมีลีกาชิงนั่งเป็นประธาน ในเวลานั้น ผมได้เป็นหนึ่งในตัวแทนของคนแต้จิ๋วรุ่นใหม่ที่ ลีกาซิง เชิญในโครงการ ที่เรียกว่า International Teo Chew Youth

ลีกาชิงเป็นคนแต้จิ๋ว ตัวอย่างที่ พัฒนาตัวเองจนเป็นที่ประสบความสำเร็จจุดสุงสุดของนักธุรกิจเอเชีย และหนึ่งในความที่ให้เกิดความสำเร็จ คือเขาไม่ลืมจุดกำเนิดของเขาเขาสร้างเครือข่ายของคนแต้จิ๋วเขาพัฒนาเรื่อยๆจนเขาได้เป็นเศรษฐีอันดับ 1ของเอเชียเป็นแรงบันดาลใจที่ครั้งหนึ่งเราเคยพบและได้รู้จัก ”
กลยุทธ์ผลักดันพนักงานไปสู่เป้าหมายนั้น ปัญหาที่พบอันดับหนึ่งของการบริหาร พรเทพ วัชรอำนวย เล่าให้ฟังว่า “ เรื่องการสื่อสารผมให้ความสำคัญมากในเรื่องแรกๆ ข้อมูลสิ่งแรกที่ตั้งเป้าหมายสิ่งหนึ่งคือ การพูดคุยตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นการสั่งงานข้อมูลที่มีตั้งแต่เป็น top down และ bottom up เราเป็น top up เราวางแผนงานและส่งลงมา ผมค่อนข้างตั้งเรื่อง KPI และพิสูจน์จาก KPI ข้อมูลทุกอย่าง ผมต้องเก็บจากต้นท่อจนถึงปลายท่อและผมจะนำมาวิเคราะห์เพื่อการแข่งขันที่สมบูรณ์
วิธีการสร้างแรงกดดันคนที่อยู่ระดับนี้ผมคิดว่าเราต้องกดดันตัวเองก่อน เมื่อเวลาที่คิดว่าเราลำบากหรือมีปัญหา ผมจะมองคนที่มีความสามารถมากกว่าเช่นผมทำงานระดับในประเทศไทย ผมมองคนระดับภูมิภาค จนถึงระดับภาคพื้นทวีป และ ระดับโลก เขาก็มีเวลาเท่าผมคือ24ชั่วโมงเท่ากัน แต่เขาบริหารอย่างไรทำไมเขาไม่เหนื่อย เขาทำอย่างไรผมจะมองคนที่มีความสามารถมากกว่าทั้งที่มีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน และจะสบายใจเมื่อมองอย่างนี้และสามารถจัดการได้กับปัญหา
เมื่อมีปัญหาสิ่งแรกคือต้องยอมรับความจริงไม่โทษสิ่งอื่นใด และต้องซื่อสัตย์กับตัวเองแล้วแก้ไขปัญหาเรียนรู้กับปัญหาต้องคิดว่าไม่มีปัญหาเขาไม่มาเรียกเราไปทำ
เมื่อมีปัญหาเราต้องเรียนรู้กับปัญหาที่ผู้ใหญ่เคยสอนผม ผมเคยเป็นพนักงานขายระดับ Top Saleโดยผมมีหลักการณ์ในการฝึกพัฒนาการ โดยคิดว่า ถ้าเซลส์มีประสบการณ์มากกว่าผม 2 ปี ผมจะเก่งกว่า หรือเทียบเท่าเขาในระยะเวลาอันสั้น คือ ภายใน 1 ปี ผมจะต้องพบลูกค้าอย่างน้อยให้มากกว่า 2 เท่า รายยิ่งเราพบลูกค้ามากเราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ได้เยอะ ถ้าผมรับลูกค้าได้ มากกว่า 4-5 เท่า ภายในครึ่งปีผมแซงเขาแน่นอนถ้าผมเปิดที่จะรับประสบการณ์ได้มากกว่า ผมก็โอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า

ผมมองว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี บางทีเศรษฐกิจดีบางคนอาจหาเงินไม่ได้ บางทีเศรษฐกิจไม่ดีคนสามารถหาเงินได้เยอะแยะ ผมมองว่าอยู่ที่การจับเรื่องทิศทางมากกว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดีเราต้องยอมรับได้ แต่เราต้องทำงานให้ผลงานดี อยู่เหนือตลาดให้ได้จึงจะประสบความสำเร็จ อยู่ที่วิธีการบริหารมากกว่านี่คือหลักการของผม
การรองรับ AEC ในสายงานผมแบ่งเป็น 2 part ถ้าขยับขยายได้มากสุดจะเป็นอินโดไชน่าเป็นสิ่งที่ผมได้วางแล้วเราได้เริ่มจับงานและศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคหาสินค้าต่างๆไปกระจายเราหาคนในพื้นที่มาสร้าง Business Model เรามีการก้าวขาไปต่างประเทศมีสาขาที่ลาวเขมรพม่าเราขยายออกในแบบร่วมธุรกิจถ้าในประเทศเราทำเองใช้ Model ในประเทศ Copy ไปทำในต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จ”
พรเทพ วัชรอำนวย ให้ข้อแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ว่า “เท่าที่ทำงานมาเรื่องต้องหาความละเอียดของข้อมูลข่าวสารต้องศึกษาในแนวลึกถ้าไม่ใช่ศึกษาเพียงผิวเผิน โอกาสที่จะผิดพลาดมีเยอะต้องรู้ภาคธุรกิจนั้นถึงแก่นแท้ของธุรกิจนั้นโดยตรงและมีการเก็บข้อมูลจากปลายทางไปถึงต้นทางนำมาวิเคราะห์
ผมมองว่าปัจจุบันการดำเนินธุรกิจเหมือนการปาเป้า ถ้าเศรษฐกิจดีเป้าใหญ่ที่หยิบที่ปาเป้าใหญ่ปาอะไรก็ถูก อยู่ที่ว่า โดนมาก หรือ น้อย สมัยใหม่ออนไลน์มีทุกอย่างการเรียนรู้ต่างๆเร็วมากเราไม่สามารถทำธุรกิจได้เหมือนคนรุ่นเก่าแล้วธุรกิจ ภายใน3เดือน ก็สามารถลอกเลียนแบบได้
ต้องประหยัดหาข้อมูลและโฟกัสเป้าของเราให้เจอปาให้เข้าเป้าให้ได้อาจพลาดได้แต่ต้องเรียนรู้และยอมรับความจริงสามารถControl เป้าให้ได้และปรับปรุงตัว minimize cost ตัวเองให้ได้และKey อย่างหนึ่งที่อยากจะบอกคือต้องคิดในเชิงบวกคิดแบบ Positive Thinking และมองโอกาสให้เป็น”

Comments