ระวังวิกฤติเศรษฐกิจจีนเริ่มแล้ว
- Advanced Business Magazine
- 29 มิ.ย. 2558
- ยาว 1 นาที

ในขณะที่ทุกคนใน Wall Street จับตามอง ประเทศกรีซ น้อยคนนักที่จะจับตามองประเทศจีน ซึ่งก็ตอนนี้พวกเราควรที่จะจับตามองได้แล้ว
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประเทศจีนนั้นตกลงมา 13% เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่เพิ่มอย่างผิดปรกติใน 12 เดือนที่ผ่านมา
หลังจากที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานั้น ตลาดหุ้นที่เซี่ยงไฮ้ก็ยังคงเพิ่มขึ้นถึง 40% แต่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ จะเป็นตัวพิสูจน์ถึงปัญหาว่าจะเป็นแค่การร่วงลงเฉพาะช่วงท้ายของสัปดาห์ หรือจะเป็นสัปดาห์แห่งความแย่ที่สุดของตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ 2008 ซึ่งจะเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกควรกังวลเลยทีเดียว
จากการคาดหวังว่าตลาดหุ้นจีนนั้นจะเข้าไปใน MSCI World Index ทำให้เม็ดเงินนั้นทะลักเข้าประเทศจีนอย่างมหาศาล ทั้งตลาดหุ้นที่เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และ เสินเจิ้น ซึ่งทำให้เป็นแหล่งตลาดเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก
ซึ่งการมีกฎระเบียบที่มากมายของจีนนั้น ทำให้ MSCI ชะลอการเพิ่มหุ้นจากจีนลง และทำให้เป็นตัวฉุดให้ตลาดหุ้นของจีนลงทั้งสัปดาห์ หลังจากเศรษฐกิจของจีนเป็นที่อิจฉาของทั่วโลกที่ผ่านมาเร็วๆนี้
มันเป็นเรื่องจริงอย่างหนึ่งว่า รัฐบาลจีน หรือคล้ายๆกับรัฐบาลอิ่นๆในโลกนี้ มีความสามารถเพิ่มหรือควบคุมเศรษฐกิจได้ ซึ่งตัวนี้เป็นตัวกระตุ้นอัตราการเจริญเติบโต และให้ความมั่นใจกับนักลงทุนต่างชาติมาร่วมลงทุนด้วย และซึ่งที่เราพูดถึงกันวันนี้ ได้เหมือนกับที่เราเคยพูดไว้กบตลาดทุนญี่ปุ่นเมื่อในอดีต ซึ่งตลาดทุนญี่ปุ่นนั้นเคยถูกมองว่าเหนือกว่าตลาดฟากตะวันตกด้วยซ้ำ และแล้ว เมื่อวันสุดท้ายของปี 1989 ฝันอันสวยหรูของตลาดทุนญี่ปุ่นได้พังทลายลงอย่างน่าตกใจ ทำให้ตลาดนิกเคอิ ร่วงลงมากกว่า 70% ในตลอดช่วง 10 ปีถัดมา และปัจจุบันก็ยังคงต่ำกว่า 50% ของช่วงที่สูงที่สุดซึ่งใกล้กับ 40,000 จุด
ซึ่งตอนนี้ตลาดทุนจีนเรียกได้ว่าเหมือนกันมากเลยทีเดียว ทั้งภาคการผลิตอันยอดเยี่ยมนั้นดูเหมือนจะกล่าวเกินจริงไป ซึ่งศักยภาพการควบคุมและกระตุ้นเศรษฐกิจดูเหมือนจะหมดไป และ ค่าแรงงานที่เคยเป็นจุดได้เปรียบของจีนนั้นเริ่มไม่ใช่อีกต่อไปเช่นกัน และตัวรัฐบาลจีนเองนั้นก็ไม่ได้เป็นมิตรเหมือนเมื่อก่อนซึ่งภาคเอกชนนั้นหวังว่าจะขยายไปในแผ่นดินใหญ่ของจีน ไม่ว่าจะเป็นกรณีของตลาดทุนญี่ปุ่นในปี 1989, วิกฤตตลาดทุนอเมริกาเมื่อปี 2000, หรือกระทั่งกรณีวิกฤติเมื่อปี2007 ทำให้มูลค่าในจีนนั้นยืดออกไป ดั่งเช่นที่เกิดขึ้นใน ญี่ปุ่นในช่วงท้ายปี 80 และ อเมริกา ช่วงท้ายปี 90
นักลงทุนรายย่อยของจีนนั้นได้มีการบัญชีเป็นหลักล้านต่อสัปดาห์ โดยที่เลือกส่วนมากจะซื้อหุ้นแบบมาร์จิ้น หรือยืมเงินมาซื้อหุ้น โดยนักลงทุนแทบจะไม่มีการลงทุนที่เป็นทางเลือกแบบอื่นเลย โดยทางอเมริกาเองก็ออกมายอมรับว่า เห็นผลที่แย่สุดที่ลงทุนในหุ้นในจีน คือ มันมีมูลค่าเกินความเป็นจริงนั้นเอง โดยที่ทางเขาก็แนะนำให้ซื้อหุ้นที่เซี่ยงไฮ้นี้เอง
มันเป็นเรี่องที่ควรกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในจีน เพราะ มีการเก็บกักตุนเงินสำรองแลกเปลี่ยนโดยจำนวนมาก และความผิดพลาดในการควบคุมตลาดนั้นเอง อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของหนี้ต่อ GDP ของจีนนั้น ซึ่งเป็นตัววัดที่สำคัญของนำลงทุนนั้น อยู่ที่ 282% มากกว่าอเมริกาเป็นเท่าตัว และมากกว่าญี่ปุ่นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
แปลและจัดทำโดย Advanced Business Magazine
แหล่งที่มา Ron Insana Senior Analyst & Commentator, CNBC
Comments