top of page
ค้นหา

เอฟดีเอมะกัน ออกระเบียบห้ามใช้ “ไขมันทรานส์” ในอุตสาหกรรมอาหาร – เครื่องดื่ม กรมส่งเสริมการค้าฯเตือน

  • รูปภาพนักเขียน: advancedbizmagazine
    advancedbizmagazine
  • 27 มิ.ย. 2558
  • ยาว 1 นาที

high-cholesterol-foods.jpg

นันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก แจ้งว่า สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ ( เอฟดีเอ) ระบุว่า ไขมันทรานส์ ไม่มีความปลอดภัย ในการใช้เป็นส่วนผสมการผลิตสินค้าอาหารเพื่อมนุษย์รับประทาน แต่อนุโลมให้ผู้ผลิตอาหารยื่นคำร้องขออนุญาตใช้เป็นบางกรณี เอฟดีเอให้เวลาอุตสาหกรรมอาหารสหรัฐฯ เป็นเวลา 3 ปี ในการเตรียมปรับกระบวนการผลิตเลิกใช้ไขมันทรานส์ หรือ ห้ามใช้มีผลบังคับในวันที่ 18 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป

“การห้ามใช้ไขมันทรานส์ในสินค้าอาหารในระเบียบใหม่นี้ จะช่วยสุขภาพในด้านการลดปัญหาโรคหัวใจ หรือ ช่วยป้องกันโรคหัวใจวาย แม้ว่าผู้ผลิตอาหารในสหรัฐฯจะแย้งว่า ระดับไขมันทรานส์ในอาหารอยู่ในระดับต่ำมากอยู่แล้ว และมีความปลอดภัย” นางนันทวัลย์ กล่าวและว่า ระเบียบการห้ามใช้ไขมันทรานส์มีผลบังคับต่อสินค้าอาหารทั้งผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ผลิต/ส่งออกไทย จึงควรเตรียมตัวและวางแผนปรับปรุงกระบวนการใช้วัตถุดิบในการผลิต เพื่อให้ผลิตสินค้าอาหารไทยส่งไปยังสหรัฐฯ ปลอดไขมันทรานส์

ทั้งนี้เอฟดีเอออกแถลงการณ์ระบุให้ไขมันทรานส์ หรือ ไขมันผ่านกรรมวิธีสังเคราะห์ให้ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนให้กลายเป็นของแข็งกึ่งเหลว เช่น เนยเทียม และมาการีน หรือมาในรูปแบบผง เช่น ผงครีมเทียม เป็นสารปรุงอาหารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ ซึ่งพบมากในเค้ก คุกกี้ ขนมปัง และอาหารแช่แข็งอีกนานาชนิด เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของชาวอเมริกันหลายล้านคนในแต่ละปี

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส แจ้งว่าจากงานวิจัยของข้อมูลของ Nielsen Scantrack ในช่วงระหว่างปี 2552 -2556 โดยได้เก็บข้อมูลมาจาก 3 กลุ่มห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 45% ของอุตสาหกรรมค้าปลีกทั้งหมด โดยเก็บข้อมูลมาจากสินค้าอาหารทั้งสิ้น 202 รายการ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ประเภทธัญพืช พาสต้า ผัก ผลไม้ อาหารกล่อง นมและขนมขบเคี้ยว สินค้าจำพวกแคลอรี่ต่ำ(ให้พลังงานไม่เกิน 150 แคลอรี่ต่อการบริโภคหนึ่งครั้ง และเครื่องดื่มต้องอยู่ที่ 50 แคลอรี่ หรือ น้อยกว่า )ได้ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของตลาด โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 59% ขณะที่ประเภทของหวาน เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและพิซซ่าก็มียอดขายมากขึ้น 12%เช่นเดียวกัน

รายงานวิจัยยังพบว่า ชาวยุโรปทานผลไม้เป็นของว่างมากที่สุด ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเองก็เช่นเดียวกัน โดยที่โยเกิร์ตมาเป็นลำดับที่ 1 ในละตินอเมริกา ในขณะที่ช็อคโกแลตเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ส่วนขนมขบเคี้ยวที่เป็นลำดับ 1 ของสหรัฐฯ คือ มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ

ยอดขายสินค้าอาหารและเครื่องดื่มแคลโลลี่ต่ าขยายตัวมากขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตของสหรัฐฯ

 
 
 

Comments


Follow "THIS JUST IN"
  • Facebook Basic Black
  • Twitter Basic Black
  • Google+ Basic Black

© 2015 by "Advanced Standard Group.co.ltd". All Right Reserved

| ADVANCED STANDARD GROUP CO., LTD. Tel. +662-881-3421-3

 

  • White Facebook Icon
  • White Instagram Icon
  • White Twitter Icon
  • White Google+ Icon
  • White Pinterest Icon
  • White YouTube Icon
bottom of page