“ชัย โสภณพนิช” ธุรกิจไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังแต่กำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเอื้อประโยชน์และช่วยเหลือส
- advancedbizmagazine
- 23 มิ.ย. 2558
- ยาว 1 นาที

ในแวดวงของธุรกิจประกันภัยแล้ว “กรุงเทพประกันภัย” คือยักษ์ใหญ่ในวงการประกันภัย ก้าวเดินแต่ละก้าวบนเส้นทางธุรกิจได้แสดงถึงความเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญในธุรกิจประกันภัย
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ภายใต้การนำของ ชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร ได้สอนให้รู้จักถ่อมตน เพราะ “การรักษาความเป็นแชมป์ย่อมยากกว่าการเป็นแชมป์” ความสำเร็จของเขาจึงต้องมั่นคงอยู่บนฐานอันหนักแน่น
บริษัท กรุงเทพประกันภัย ได้รับการจัดอันดับน่าเชื่อถือทางการเงินจาก Standard &Poorsหรือ S&P สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก ในระดับ A-(Stable) (ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2557) สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจประกันวินาศภัยของประเทศที่มีความสามารถทางการแข่งขัน ผลประกอบการที่ดี ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินกองทุนมากเพียงพอ การบริหารเงินทุนในระดับที่น่าพึงพอใจ รวมทั้งมีระบบการบริหารจัดการที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน (Financial Strength Rating) ในระดับ A-(Excellent) (ณ วันที่ 29พฤษภาคม2558) จาก A.M. Best Company อีกหนึ่งสถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก

ชัย โสภณพนิช กล่าวถึงกรุงเทพประกันภัยว่า “เรามีความเชี่ยวชาญเรื่องการรับประกันวินาศภัยทุกประเภท เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญอยู่ทุกสาขาวิชา เน้นคุณภาพของการรับประกันโดยใช้วิชาความรู้ รวมทั้งอาศัยประสบการณ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบการวิเคราะห์อย่างรอบคอบในฐานะที่เราเป็นบริษัทประกันภัยค่อนข้างใหญ่ จึงต้องมีการขยายตลาดให้กว้างขวางยิ่งขึ้นจุดไหนที่เห็นว่าขาดไปเราก็พยายามเข้าไปส่งเสริมให้มีการประกันภัย หรือจุดไหนที่มีความต้องการอยู่แล้วเราก็จะพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มอาเซียน
ปัจจุบันการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและการเข้าสู่ประตูอาเซียนในปลายปี 2558 ทำให้ธุรกิจต่างๆ ตื่นตัวกันมาก ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งธุรกิจประกันภัย “ชัย โสภณพนิช” ได้เปิดวิสัยทัศน์ถึงยุทธศาสตร์เหล่านี้ โดยประเมินว่าธุรกิจประกันภัยในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ ชะลอลงจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมาตรการเศรษฐกิจของรัฐที่ออกมา ทำให้คาดว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 หนุนให้ธุรกิจประกันภัยกลับมาเติบโตในระดับปกติที่ 10-15 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม ด้วยมุมมองเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นในปีหน้าจากการลงทุนภาครัฐ ทำให้ในขณะนี้ถือเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีของบริษัทฯ โดยช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯ เข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ มีสัดส่วนของการลงทุนในหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์ ในแง่ต้นทุน แต่หากคิดเป็นมูลค่าตลาด (Mark to Market) แล้วจะมีสัดส่วนสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์
ในส่วนของการลงทุนต่างประเทศนั้น คปภ. อนุมัติให้ลงทุนเฉพาะธุรกิจประกันภัยเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการออกไปลงทุนด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มพันธมิตรภายใต้กลุ่มเอเชียประกันภัยที่เป็นการร่วมทุนระหว่างเครือข่ายประกันภัยในฮ่องกงและอินโดนีเซีย เข้าไปตั้งบริษัทหรือโฮลดิ้งคอมพานีที่ลงทุนในบริษัทประกันภัยในลาวกัมพูชา และฟิลิปปินส์ร่วมกับผู้ถือหุ้นท้องถิ่นในแต่ละประเทศด้วย โดยบริษัทใช้งบลงทุนรวม 270 ล้านบาท”
ชัย โสภณพนิช กล่าวต่อไปว่า “ธุรกิจประกันภัยหากจะออกไปเปิดตลาดเองเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ที่ทำได้คือการร่วมทุนกับท้องถิ่น เช่นในฟิลิปปินส์เราก็ได้เครือข่ายธุรกิจในอินโดนีเซียที่ได้เข้าไปตั้งแต่ 30ปีก่อนเข้าไปช่วยบริหารให้ ส่วนเราก็ช่วยดูเขมรกับลาวให้เขา ฮ่องกงก็ช่วยดูที่เวียดนาม ดังนั้นเราคงไม่ออกไปด้วยตัวเอง และในกัมพูชาบริษัทฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นในกัมพูชา 22 เปอร์เซ็นต์บริษัทเอเชียอินชัวรันส์ จำกัด มหาชน ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปบริหาร และบริษัทฯ ได้ร่วมจัดตั้งบริษัทใหม่ในลาว โดยถือหุ้นในสัดส่วน 45 เปอร์เซนต์ ร่วมกับกลุ่มเอเซียอินชัวรันส์
ส่วนลาวนั้นตลาดยังเล็ก มีประชากรแค่ 4 ล้านคน ค่าครองชีพต่ำกว่าเขมร และคนเข้าไปเปิดโรงงานน้อยอยู่ ที่เราหวังระยะยาวคือการสร้างเขื่อน หรือสาธารณูปโภคต่างๆ และฟิลิปปินส์ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่ขยายตัวได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการหาโอกาสเข้าไปซื้อบริษัทประกันภัยในมาเลเซียร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเช่นเดิม แต่ยังอยู่ในกระบวนเตรียมข้อมูลอีก 2-3 เดือนเพื่อยื่นขออนุญาตจากทางธนาคารกลางมาเลเซีย ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 200-250 ล้านบาท บริษัทฯ จะมีสัดส่วนการถือหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เวียดนามนั้น บริษัทฯ เคยมีธุรกิจร่วมทุน แต่ได้แยกตัวออกมาเมื่อ 4-5 ปีก่อน เนื่องจากแนวทางการบริหารไม่ตรงกัน แต่ในอนาคตหากมีการขายหุ้นออกมาจะเป็นโอกาสของบริษัทฯได้

อย่างไรก็ตามประเทศในAEC ที่ดูมีโอกาสทางธุรกิจมากในขณะนี้ หนีไม่พ้นพม่าที่นักลงทุนต่างเข้าไปในขณะนี้ แต่ในแง่ธุรกิจแล้วในขณะนี้ยังต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 10 ปี ปัจจุบันธุรกิจประกันในพม่ามีอยู่แห่งเดียวถือหุ้นโดยรัฐบาลพม่า และการเข้าไปทำธุรกิจประกันในพม่าขณะนี้ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก หรือต้องมีเงินกองทุนขั้นต่ำ 50 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในอาเซียน เทียบกับกัมพูชาที่ 7 ล้านดอลลาร์ หรือมาเลเซียกำหนดที่ 100 ล้านริงกิตหรือ 1,000 ล้านบาท
แม้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจต่างประเทศยังต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่าให้การลงทุนต่างประเทศให้ผลตอบแทนเช่นในฟิลิปปินส์ที่สามารถจ่ายปันผลได้ 4-8 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กัมพูชาให้ผลตอบแทนตั้งแต่ 6-15 เปอร์เซ็นต์”
“ชัย โสภณพนิช” กล่าวถึงนโยบายการบริหารบุคคลว่า “เราเน้นเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เนื่องจากธุรกิจด้านนี้คุณภาพของพนักงานมีความสำคัญมาก ซึ่งกรุงเทพประกันภัยสามารถเติบโตขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งในวงการประกันภัยได้เพราะคุณภาพพนักงานของเรา แม้ว่าพนักงานของเราจะมีคุณภาพ แต่ผู้บริหารก็มิได้ละเลยที่จะพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยที่เราได้เปิดอบรมสอนเทคนิคต่างๆ ในด้านประกันภัยให้แก่พนักงานใหม่ พยายามสร้างพื้นฐานทางด้านประกันภัยให้มาก เพราะเรามีนโยบายว่าพนักงานไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ของตนเท่านั้น ต้องสามารถเป็นปรึกษาของลูกค้าด้วย สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงขึ้นไปก็จะส่งไปดูงานต่างประเทศทุกปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้ว่าต่างประเทศเขาจะทำอะไรกันบ้าง” ไม่เพียงธุรกิจประสบความสำเร็จแล้ว กรุงเทพประกันภัยยังดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีและปฏิบัติมาอย่างยาวนานมีหลายทิศทางอย่างมากมายโดยชัย โสภณพนิช กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ในส่วนของการดำเนินกิ
จกรรมเพื่อสังคมนั้นเป็นหน้าที่หลักของมูลนิธิกรุงเทพประกันภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2537 ทำหน้าที่ในการรับผิดชอบติดต่อและประสานงาน นับเป็นการดำเนินกิจกรรมในลักษณะของการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) กิจกรรมที่กรุงเทพประกันภัยให้การสนับสนุนไม่ได้เน้นไปในด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่พยายามให้ความสำคัญต่อสิ่งที่สร้างให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ทั้งการศึกษา ศาสนา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม รวมถึงศิลปวัฒ
นธรรมไทย โดยทั่วไปโครงการของบริษัทฯ จะพยายามเข้าไปช่วยโดยตรงกับคนที่เราคิดว่าลำบาก หรือควรจะมีการช่วยเหลือคนคนนั้น และพิจารณาว่าเงินที่เราจะเข้าไปช่วยจะสร้างประโยชน์ได้ขนาดไหนเราคิดว่าความสุขมาจากการที่เราให้คนที่เราคิดว่าเขาต้องการ และการที่เขาได้รับ เขาก็แสดงให้เห็นว่าเขามีความสุข และส่วนใหญ่เขาจะคาดไม่ถึงว่าจะมีคนที่เข้าไปช่วยเขามากขนาดนั้น
โครงการที่เราให้การสนับสนุนยู่มีอยู่ค่อนข้างมาก เราก็จะดูว่าโครงการไหนที่เราเข้าไปแล้วผู้ได้รับจะได้ประโยชน์มากที่สุด แต่เราพยายามที่จะให้ทุกโครงการที่คิดว่าจะสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม”
ชัย โสภณพนิช กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าฟังว่า “ธุรกิจไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังแต่ตัวเลขผลกำไรเพียงอย่างเดียว หากธุรกิจจะต้องเอื้อเฟื้อประโยชน์และช่วยเหลือคนในสังคมด้วย”

Comentarios