คำแนะนำวิธีป้องกันเกี่ยวกับไวรัสเชื้อร้ายมรณะเมอร์ส (MERS-CoV) หลังพบผู้ป่วยรายแรกในไทยแล้ว
- advancedbizmagazine
- 19 มิ.ย. 2558
- ยาว 2 นาที

หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวยืนยัน พบผู้ป่วยเมอร์สรายแรกในไทยเป็นชายชาวตะวันออกกลาง อายุ 70 ปี โดยมีผลตรวจออกมาเป็นบวก ขณะนี้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่สถาบันบำราศนราดูรอย่างเข้มงวด รวมถึงเฝ้าระวังคนใกล้ชิด 59 คน (เรื่องเล่าเช้านี้ 18 มิ.ย. 58)
แอดมิน Advanced Business Magazine เล็งเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินตัวอีกต่อไปกับเชื้อร้ายมรณะนี้ ทุกคนควรเฝ้าระวังตัวเอง โดยแอดมินได้รวบรวมบทความของไวรัสชนิดนี้มาให้ศึกษาและดูแลตัวเองในขั้นต้นกันค่ะ
ไวรัสเมอร์ส คืออะไร อาการเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้ยังไม่มียารักษา เพียงแค่ 5 นาทีก็ติดต่อได้ ทำให้อัตราการตายสูง ! คำถาม-คำตอบต่อไปนี้จะทำให้เรารู้จักอิทธิฤทธิ์ของเชื้อไวรัสลึกลับนี้มากขึ้น
ไวรัสเมอร์ส ที่มีข่าวแพร่ระบาดและคร่าชีวิตชาวเกาหลีใต้ไปบ้างแล้วนั้น ทำให้คนไทยหวาดวิตกพอสมควร เพราะเป็นโรคระบบทางเดินหายใจตระกูลเดียวกับซาร์ส ซึ่งเคยคร่าชีวิตคนไปเป็นจำนวนมาก ที่น่ากลัวคือจนถึงวันนี้ยังไม่มียารักษา ถึงเวลาต้องทำความรู้จักกับเชื้อร้ายมรณะตัวนี้ให้มากขึ้น รู้ให้ครบทุกด้านก่อนตื่นตระหนกจนเกินควร
1. ไวรัสเมอร์ส คืออะไร
ไวรัสเมอร์ส ก็คือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ กลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันในประเทศตะวันออกกลาง (Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV)) หรือบางครั้งก็เรียกว่า "ไวรัสโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2012" คือ โรคระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (MERS-CoV) ซึ่งตรวจพบเป็นครั้งแรกที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยเชื้อตัวนี้มาจากค้างคาวแล้วมาติดอูฐ ก่อนจะแพร่ไปยังชายชาวซาอุฯ ที่เป็นผู้ป่วยรายแรก โคโรน่าไวรัส จัดเป็นวงศ์ (family) ใหญ่ของไวรัสวงศ์หนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคได้หลายโรค ตั้งแต่โรคหวัดธรรมดาไปจนถึงโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือโรคซาร์ส
2. ไวรัสเมอร์ส อาการป่วยเป็นอย่างไร
เนื่องจากโรคนี้เป็นไวรัสตระกูลเดียวกับโรคซาร์ส ดังนั้นอาการที่พบคืออาการทางระบบทางเดินหายใจ โดยผู้ป่วยจะเป็นไข้ ไอ หอบ หายใจลำบาก และเมื่อตรวจร่างกายจะพบ "ปอดบวม" ปอดอักเสบ หรือนิวโมเนีย บางรายอาจมีอาการท้องร่วงร่วมด้วย ทั้งนี้เมื่อผู้ป่วยมีอาการปอดบวมหรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ซึ่งจําเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประกอบกับการดูแลด้านอื่น ๆ ผู้ป่วยบางรายมีภาวะอวัยวะล้มเหลวโดยเฉพาะไตวาย หรือมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ สําหรับผู้ที่มีโรคประจําตัว ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็งและโรคปอดเรื้อรัง อาการป่วยจะรุนแรง
3. ไวรัสเมอร์ส เกิดขึ้นที่ไหนแล้วบ้าง?
ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของยุโรป (ECDC: European Centre for Disease Prevention and Control) รายงานพบผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2012 ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2558 โดยพบผู้ป่วยแล้วใน 26 ประเทศ
4. ไวรัสเมอร์ส ติดต่อกันได้อย่างไร
ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า โรคนี้การติดต่อเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพียง 5 นาทีก็สามารถติดต่อกันได้ผ่านทาง
การสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง
ติดต่อผ่านละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย การไอ หรือจาม
มือที่สัมผัสของใช้ร่วมกับผู้ป่วย
การสัมผัสกับอูฐที่มีเชื้อ
5. ไวรัสเมอร์ส ใครคือกลุ่มเสี่ยง
อย่างที่ทราบไปแล้วว่า ไวรัสเมอร์สจะติดต่อผ่านการสัมผัสใกล้ชิด ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงก็คือ
สมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยไวรัสเมอร์ส
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วย แพทย์ พยาบาล
ผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด
ผู้ที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์ที่ซาอุดีอาระเบีย เพราะมีคนหลายล้านคนทั่วโลกไปร่วมงานและอยู่ในพื้นที่แออัด
6. ไวรัสเมอร์ส มีอัตราการแพร่ระบาดสูงหรือต่ำอย่างไร
ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า ไวรัสเมอร์สเป็นเชื้อโรคที่มีอัตราการแพร่กระจายไม่ได้สูงมากนัก คือ ผู้ป่วย 1 คน สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ 0.60-0.69 คน ในขณะที่อัตราการแพร่กระจายของโรคอื่น ๆ มีมากกว่า เช่น
ผู้ป่วยโรคหัด 1 คน สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อได้อีก 12-18 คน
ผู้ป่วยคางทูม 1 คน สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อได้อีก 4-7 คน
ผู้ป่วยเอชไอวี 1 คน สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อได้อีก 2-5 คน
ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา 1 คน สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อได้อีก 1.5-2.5 คน
ดังนั้น โอกาสที่โคโรน่าไวรัสจะแพร่กระจายเป็นกลุ่มก้อนในชุมชนจึงมีน้อย ยกเว้นคนนั้นจะมีความเสี่ยงจริง ๆ เช่น เป็นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย หรือมีร่างกายไม่แข็งแรง
7. ไวรัสเมอร์ส รักษาได้ไหม อัตราการเสียชีวิตสูงแค่ไหน
น่ากลัวทีเดียวเพราะปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนรักษาโรคไวรัสเมอร์ส จึงทำได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น และเนื่องจากยังไม่มียารักษา จึงทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตถึงร้อยละ 40 ต่างจากโรคซาร์สที่แม้จะแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าไวรัสเมอร์ส แต่อัตราการเสียชีวิตมีเพียงร้อยละ 9.6 เท่านั้น เรื่องนี้จึงทำให้วงการแพทย์เป็นกังวลกันมากกับการลุกลามของไวรัสเมอร์สครั้งนี้
8. ไวรัสเมอร์ส กับ ไวรัสซาร์ส เชื้อไหนอันตรายกว่ากัน
ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ให้ข้อมูลว่า แม้ไวรัสเมอร์สจะเป็นไวรัสกลุ่มเดียวกับซาร์ส แต่โอกาสการแพร่ระบาดจากคนสู่คนน้อยกว่าโรคซาร์ส 5 เท่า ทำให้การแพร่ระบาดส่วนใหญ่จึงยังจำกัดอยู่ในพื้นที่ตะวันออกกลาง โอกาสแพร่ระบาดไปทั่วโลกน้อย ต่างจากโรคซาร์สที่มีโอกาสสามารถแพร่ไปทั่วโลกได้มากกว่า
ทั้งนี้ปัจจุบันยังไม่พบว่าเชื้อไวรัสตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือกลายพันธุ์แต่อย่างใด และแม้ว่าโรคนี้จะมีอัตราการแพร่ระบาดจากคนสู่คนต่ำ แต่สำหรับการระบาดที่เกาหลีใต้ ถือเป็นการแพร่กระจายแบบสุดยอด หรือ ซูเปอร์ สเพรด (Super spread) คือ แพร่ระบาดเร็วและจำนวนมาก จากคนเกาหลีที่ติดเชื้อจากพื้นที่ตะวันออกกลางเข้ามาในประเทศ และมีผู้ติดเชื้อต่อไปอีกถึง 30 คนในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ สาเหตุของการแพร่ระบาดเร็วคาดว่ามาจากความไม่รู้ ทำให้ไม่มีการระมัดระวังตัว โอกาสแพร่กระจายเป็นจำนวนมากจึงสูง
อย่างไรก็ตามอย่างที่ทราบว่า โรคซาร์สมียารักษาได้ ดังนั้นอัตราการเสียชีวิตจึงต่ำกว่าไวรัสเมอร์สที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษา
9. ประเทศไทยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไวรัสเมอร์สหรือไม่ ?
แม้จะยังไม่พบรายงานผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทย แต่ประเทศไทยก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะมีชาวไทยจำนวนไม่น้อยเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งแรงงานที่เดินทางไปทำงานในแถบตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ อีกทั้งยังมีนักท่องเที่ยวจากชาติที่มีการแพร่ระบาดของโรคเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ศ. นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านวิจัยและฝึกอบรมโรคติดเชื้อไวรัสจากสัตว์สู่คน ก็มองว่า แม้ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงในเรื่องนี้ แต่ก็ต้องพิจารณาปัจจัย 3 ข้อ ประกอบด้วย คือ
1. เชื้อตัวนี้สามารถติดได้ง่ายแค่ไหน
2. เมื่อติดเชื้อคนป่วยจะเป็นพาหะแพร่กระจายสู่คนหมู่มากได้นานกี่วัน
3. เชื้อตัวนี้อยู่ในอากาศได้นานหรือมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้จากมาตรการรับมือของกระทรวงสาธารณสุขถือว่าทำได้ดีทีเดียว ส่วนเชื้อไวรัสเมอร์สที่กลัวว่าจะมีในค้างคาวไทยก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะจากการสำรวจค้างคาวไทยมาหลายสิบปี กว่า 1,000 ตัวอย่าง ไม่พบเชื้อไวรัสเมอร์ส แต่พบแค่สายพันธุ์หรือรหัสพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกันมาก แต่หลังจากตรวจคนที่สัมผัสใกล้ชิดค้างคาวก็ไม่พบว่ามีใครติดเชื้อไวรัสจากค้างคาวไทย
10. หากต้องสงสัยป่วยไวรัสเมอร์ส ต้องทำอย่างไร
หากใครมีประวัติเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด แล้วมีอาการไอ เป็นหวัด ให้ใส่หน้ากากอนามัย และพักผ่อนอยู่ที่บ้าน หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วัน ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางไปต่างประเทศด้วย แต่ถ้าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไตวาย โรคปอดเรื้อรัง และภูมิต้านทานโรคต่ำ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอถึง 2 วัน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า
นอกจากนี้ยังสามารถโทร. 1422 ปรึกษาสายด่วนกรมควบคุมโรค ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่เว็บไซต์สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค beid.ddc.moph.go.th
11. ทำอย่างไรถ้าจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่มีไวรัสเมอร์สแพร่ระบาด
ตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีนของตัวเอง
งดการสัมผัสกับอูฐ หรือดื่มนมอูฐดิบ หากเดินทางไปยังประเทศในตะวันออกกลาง
สวมใส่หน้ากากอนามัย
หลีกเลี่ยงไปในสถานที่แออัด มีคนรวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมาก
หมั่นรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่ หรือแอลกอฮอล์ล้างมือ
ไม่ควรสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย หรือต้องสงสัยป่วยด้วยโรคนี้
หากเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ภายใน 14 วัน มีอาการเป็นไข้ เป็นหวัด หอบ หายใจลำบาก ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่มีคำสั่งห้ามเดินทางไปยังประเทศที่มีการแพร่ระบาด ดังนั้นต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
12. ไวรัสเมอร์ส ป้องกันอย่างไรดี
วิธีป้องกันไวรัสเมอร์สก็ทำเหมือนกับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั่วไป คือต้องรักษาร่างกายตัวเองให้แข็งแรง อีกทั้งต้องมีสุขอนามัยที่ดี เช่น
หมั่นล้างมือฟอกสบู่บ่อย ๆ
หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด
สวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรค
ใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
หากต้องเดินทางไปในประเทศตะวันออกกลาง ไม่ควรสัมผัสอูฐ หรือสัตว์ป่า
รับทราบข้อมูลแล้วก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกมากเกินไป เพราะทางกระทรวงสาธารณสุขของไทยเตรียมพร้อมรับมือกับโรคนี้อย่างเต็มที่ ส่วนตัวเราเองนั้น การได้รู้ข้อมูลของโรคนี้ไว้บ้าง ก็ช่วยให้เรารู้จักสังเกตตัวเองหรือคนใกล้ชิด เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังโรคนี้ได้เช่นกัน
ไปชมคลิปคำแนะนำเกี่ยวกับไวรัสร้ายชนิดนี้ จาก
ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม (อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล) กันเลยค่ะ
Comments