top of page
ค้นหา

คิดอะไรบ้าง.......ในช่วงเปลี่ยน พ.ศ. ใหม่

  • Words of wisdom -- Credit by...Roj Wongprasert
  • 19 มิ.ย. 2558
  • ยาว 2 นาที

trader14.jpg

เวลาทำให้ผมรับรู้ว่าอายุของตนเองกำลังจะเพิ่มขึ้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คำถามในใจก็ตามมา ว่าตนเองจะมีพละกำลังทำงานได้อีกกี่ปี ทั้ง ๆ ที่ก็มีข้อคิดแนะนำรับทราบเสมอว่า ให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่าไปวิตกกับอนาคต อย่าไปไว้อาลัยกับอดีต แต่เราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ธรรมชาติของคนกับเรื่องความวิตกกังวลกับเหตุหรือเรื่องที่ยังไม่เกิดเป็นของคู่กัน มักตัดใจไม่คิดไม่ได้ แต่เมื่อตั้งหลักดี ๆ แล้ว เราก็ท่องไว้ในใจ เตือนสติตนเองว่า ทำวันนี้หรือทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติในปัจจุบัน

วันแรกที่เข้าทำงาน ก็ได้ยินข่าวให้ไม่สบายใจ ทราบข่าวว่า บางคนลาออก บางคนกำลังจะลาออกจากองค์กรที่เราทำงานอยู่ บางคนทำงานนานแล้วครบวาระต้องเกษียณตามกฎระเบียบ บางคนก็เพิ่งมาทำงานไม่นานนัก แต่บางคนทำงานมาหลายสิบปี เรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเหตุการณ์ปกติ เพราะเทศกาล การโยกย้ายมักจะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนพ.ศ.เหมือนกัน ทำให้คิดถึงภาษิตที่ว่า “ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง .........” เขาว่า มนุษย์นั้นไม่รู้จะพอ งานจะดีหรือไม่ดี งานจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ องค์การบางแห่งอาจจะตกต่ำทำให้อยากเปลี่ยนแปลง แต่บางองค์กรกำลังจะเติบโต มีทิศทางที่ดี แต่บุคลากรก็อยากเปลี่ยนแปลง คิดไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้ เขามักจะพูดว่า “ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ” เพราะฉะนั้นคนที่ออกจากองค์กรเดิมไปที่ใหม่ ก็ไม่ใช่คนที่ทำงานทำงานไม่ได้หรือไม่สำเร็จเสมอไป ไม่ใช่คนที่ไม่ดี บางทีอาจจะเป็นคนเก่งมาก ๆ ก็ได้

แต่ที่แน่อนของชีวิต ไม่ว่าจะพ.ศ.ไหน คนทุกคนก็ต้องทำงาน ในชีวิตเราแม้ว่าจะเกษียณออกจากองค์กรไปแล้ว ก็ยังต้องแสวงหางานทำ ต้องทำงาน ไม่มีใครอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้ เบื่อตาย คนเรามีเวลาในชีวิตแต่ละวันจริง ๆ 24 ชั่วโมงเศษนิดหน่อย ( นาน ๆ รวมได้หนึ่งวันเป็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ เราแบ่งเวลาแต่ละวันเป็นสามส่วน ได้ส่วนละแปดชั่วโมง ส่วนแรกเอาไว้พักผ่อนนอนหลับแปดชั่วโมง ส่วนที่สองเอาไว้ทำงานแปดชั่วโมง ส่วนที่สามเอาไว้เป็นเวลาอิสระอยากทำอะไรก็ทำอีกแปดชั่วโมง แต่เราจะเห็นได้ว่าเวลาที่มีอิทธิพลกับเวลาพักผ่อนนอนหลับ และเวลาอิสระของเราก็คือเวลาทำงาน ทำงานเครียดทำให้นอนไม่หลับ หรือทำให้เวลาอิสระไม่อิสระเท่าที่ควร เพราะมัววิตกกังวลกับงาน บางคนหอบเอางานไปทำที่บ้านในเวลาอิสระส่วนตัว แถมเลยไปถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับ เวลามีปัญหาที่ทำงาน ก็หอบเอาปัญหากลับบ้าน คุมอารมณ์ไม่อยู่ก็เลยทะเลาะกับครอบครัวในช่วงเวลาอิสระ บางคนก็โกงเวลาอิสระเอาไปทำงาน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนลืมครอบครัว ลืมว่าต้องสร้างความสุขความอบอุ่นให้คู่ครองและลูก ๆ

บางคนตั้งโจทย์ให้กับชีวิตและงานของตนเองแบบผิด ๆ ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมไปทำงานกับบริษัทที่มีผู้บริหารเป็นชาวต่างประเทศ หน่วยงานที่ไปดูแลก็คือหน่วยงานสร้างยอดขาย หรือฝ่ายขาย ก่อนหน้าที่ผมจะไป ที่นั่นก็มีหน่วยงานนี้แล้ว มีคนทำงานอยู่แล้ว และก็มีผู้บริหารอยู่แล้ว แต่ผลผลิตยอดขายอาจไม่ได้ตามคาดคิด ก็เลยทำให้ได้ไปทำงาน ช่วงเวลาไม่ถึงเดือน ก็มีเสียงบ่นจากบุคลากรในหน่วยงานนี้ บ่นว่า “ แต่ก่อนอยู่กันสบาย ๆ ไม่เห็นต้องมีกฎระเบียบอะไรมากมาย ไม่เห็นมีงานให้ยากลำบาก พอผู้บริหารคนนี้มาเท่านั้นแหละ แต่ละคนยุ่งยากลำบากกันไปหมด ฟังแล้วก็คือ ผมเป็นตัวการทำให้เขาต้องเพิ่มงาน มีความยากลำบากในการทำงานมากขึ้น เมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่สบายใจ คิดเอาว่า เราเป็นตัวซวยแล้วกระมัง ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็นำเรื่องไปเล่าสู่กันฟังกับกรรมการผู้จัดการที่เป็นชาวต่างประเทศนั้น โดยไม่ได้คิดว่าจะทำให้ใครเดือดร้อน แต่ผลกลับไปกันใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทให้ฝ่ายบุคคลเรียกพนักงานไปพบทีละคน จ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมายแรงงาน ถ้าประสงค์จะไม่ทำงาน แต่ถ้าจะทำงานต่อไป ก็ต้องทำงาน ไม่ใช่มาอยู่ที่ทำงานกันเฉย ๆ ก็เป็นข้อคิดสรุปได้ว่า จะอยู่ที่ไหนก็ต้องทำงาน เพราะเป็นเวลาทำงาน ไม่ใช่เวลาจ้างเรามานั่งที่ทำงานอยู่เฉย ๆ

ประสบการณ์เพียงไม่กี่ปีที่ได้ทำงานกับชาวต่างประเทศท่านนี้ ให้ข้อคิดและประสบการณ์การทำงานยอดเยี่ยมมาก ชนิดที่ไม่เคยได้รับมาก่อนนี้ ทั้ง ๆ ที่ทำงานมาหลายสิบปี กับผู้บริหารหลายท่าน และจนตนเองเป็นกรรมการผู้จัดการเองก็เคย แต่ท่านสอนให้คนทำงาน เป็นต้น กรรมการผู้จัดการหรือเบอร์หนึ่งขององค์กรทำงานอย่าง

  • ไว้ใจผู้ใต้บังคับบัญชา ท่านไม่เคยแอบหรือติดตามการทำงานของผมเลย เราคุยกันเหมือนกับผมรายงานให้ทราบว่าจะทำอะไรที่ไหนอย่างไร ท่านอาจให้ความเห็นหรือคำแนะนำเพิ่มเติม และก็ให้ไปทำ จะดูอีกครั้งตอนสรุปผลว่ามีอุปสรรคอย่างไร หรือได้ผลอย่างไร

  • ท่านย้ำเสมอว่า ความรู้ยังสำคัญเป็นรอง ความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานสำคัญกว่า มีความรู้สูงแต่ไม่ได้ทำ ก็เหมือนที่เราได้ยินบ่อย ๆ ”ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด “ ประสบการณ์ไม่ได้หมายถึงทำงานนั้นมายาวนาน แต่หมายถึงความสำเร็จในงานนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมามากกว่า

  • การให้เกียรติเพื่อนร่วมงานสำคัญมาก อย่างเช่น ถ้าไปต่างจังหวัด ต้องพักโรงแรม ท่านจะให้ข้อคิดเห็นว่า แล้วแต่เราเห็นว่าเหมาะสม เพราะหากผู้เกี่ยวข้องหรือต้องสัมพันธ์ในงานกับเรา พักที่ดีกว่า เรามัวแต่ทำตามงบค่าที่พัก จะเป็นจุดทำลายเกียรติของเราได้ อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อผู้บังคับบัญชาพักโรงแรมใด ก็ควรให้พนักงานที่ติดตามพักที่เดียวกัน ไม่ควรแยกสูงต่ำ ( ข้อนี้จะผิดกับหลักปฏิบัติของผู้บริหารไทย ๆ )

  • ท่านมักจะเอาทฤษฎี SWOT นำมาประชุมใช้เพื่อประเมินงานและกำหนดแผนงานและเป้าหมาย แทบทุกไตรมาส ทุกหกเดือน ซึ่งการวิเคราะห์จุดดีเด่น จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ก็เป็นแนวทางมาตรฐานของการทำงาน เหมือนรู้เขารู้เรา แต่ผมไม่เคยได้ใช้จริงจังเท่ากับทำงานกับชาวต่างประเทศท่านนี้ คิดแล้วผลจะดีไม่ดีอยู่ที่การนำไปปฏิบัติ เข้มข้นละเอียดจริงจังขนาดไหน

SWOT Analysis.jpg

เราอาจจะนำบางประเด็นมาประยุกต์ใช้กับการทำงานของเราได้นะครับ

เชื่อว่าแต่ละท่านก็คิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ ตามเทศกาล มีข้อตั้งใจของแต่ละคน บางเรื่องก็อาจจะเป็นเรื่องที่ตั้งใจมานานแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จเสียที ก็เอามาตั้งใจจะทำอีก บางคนก็อาจจะเอาข้อบกพร่องก่อน ๆ มาสร้างความตั้งใจที่จะปรับปรุงแก้ไขกันใหม่ ทั้งเรื่องส่วนตัว ทั้งเรื่องขององค์กร องค์กรเองก็ปรับปรุงนดยบาย ปรับปรุงเป้าหมาย และแผนงานแผนกลยุทธกันใหม่ แต่ละหน่วยงานก็ทำข้อตั้งใจ ทำเป้าหมาย แผนงานของหน่วยงานเช่นกัน เชื่อว่าไม่มีใครปฏิเสธ ไม่มีใครอยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้มาแล้วก็ให้ผ่านไป โดยความคิดอะไรเหมือนเดิม อย่างนี้เขาว่าเซ็งตายแน่นอน

สิ่งแวดล้อมอาจจะให้เราเสียบรรยากาศไปบ้าง แต่คงไม่มีใครปล่อยชีวิตให้เฉื่อยชา ไร้อารมณ์ ไร้ความคิด ไปตามบรรยากาศแวดล้อม ข้าวของแพง ขึ้นราคา แม้ว่าเราจะไม่พยายามคิดไปเอง ตามที่ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองว่า แต่มันก็แพงและขึ้นราคาจริง ๆ ความวุ่นวายทางการเมือง จะมีเลือกตั้งหรือไม่มีเลือกตั้ง ก็ยังไม่สรุปจบ ความคิดต่างที่เขาว่ามีได้ แต่จะบริหารความคิดต่างกันได้อย่างไร ที่เห็น ๆ ความคิดต่างมีจริง แต่ต่างก็ไม่ยอมและเอาความคิดตัวเองเป็นถูก เรื่องก็เลยจบหรือลงเอยกันยาก

อย่างไรเสีย เตือนสติของเราไว้ จงมุ่นมั่นทำความดีเอาไว้ให้มาก อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์พวกพ้อง เห็นแก่ส่วนรวม ถ้าเป็นองค์กรก็เห็นประโยชน์องค์กรเป็นสำคัญ

มีผู้ใหญ่อาวุโสท่านหนึ่งพูดให้โอวาสว่า บ้านเมืองจะดี (องค์กรจะดี) ถ้ามีสองประการ ประการแรก คือผู้บริหารที่ดี ทำเพื่อส่วนรวมจริง ๆ และสอง สมาชิกในองค์กร (หรือประชาชน) มีศีลธรรม ทุกวันนี้เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับศีลธรรมเท่าใดนัก เราหรือผู้บริหารต่างมุ่งมั่นพัฒนาหรือบูรณาการ มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ทุ่มทุนสร้างความเจริญทางวัตถุ แต่ความเจริญด้านจิตใจถอยหลัง ฆ่ากันเป็นว่าเล่น ฉลองปีใหม่ตายกันอย่างสนุกสนาน โกหกกล่าวร้ายโจมตีกันโดยไม่มีมูลความจริง ลุแก่อำนาจเข่นฆ่ากันไม่คำนึงความถูกต้อง ศีลธรรมเสื่อมไปจนถึงนักบวชที่ต้องยึดศีลเป็นสำคัญ ก็เลยหาทางออกกันไม่ได้ ยิ่งวันยิ่งวุ่นวาย หาจุดลงที่สมดุลไม่ได้

หันมาพัฒนาตัวเราดีกว่า ประการแรก หมั่นเรียนรู้มาก ๆ ( Knowledge ) ประการที่สอง รักษาสุขภาพร่างกายให้ดี( Physical ) ประการที่สามทำงานด้วยความอุตสาหะ( Work Hard )ฝึกตนเองให้มีทัศนคติที่ต่อทั้งหมด เช่นครอบครัว องค์กร ผู้บริหาร เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และสังคมมนุษย์ร่วมโลก( Attitude ) และสุดท้ายศรัทธาและปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาที่แต่ละท่านนับถือ( Love of God ) เอาเท่านี้ ทดลองทำเป็นข้อตั้งใจส่วนตัว ก็เข้าท่านะครับ.

 
 
 

コメント


Follow "THIS JUST IN"
  • Facebook Basic Black
  • Twitter Basic Black
  • Google+ Basic Black

© 2015 by "Advanced Standard Group.co.ltd". All Right Reserved

| ADVANCED STANDARD GROUP CO., LTD. Tel. +662-881-3421-3

 

  • White Facebook Icon
  • White Instagram Icon
  • White Twitter Icon
  • White Google+ Icon
  • White Pinterest Icon
  • White YouTube Icon
bottom of page