ความเปลี่ยนแปลง : คิดถึงงานวัด
- Words of wisdom -- Credit by...Roj Wongprasert
- 11 มิ.ย. 2558
- ยาว 2 นาที

เพื่อนส่งอีเมลเรื่อง” คิดถึงสนามหลวง" เล่าบรรยากาศเก่า ๆ สมัยที่เป็นตลาดนัดสนามหลวง มีการเปิดตลาดขายของชั่วคราวในวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกย้ายไปอยู่ที่สวนจตุจักรแล้ว แต่คราบของการเป็นตลาดนัดแบบเก่า ๆ แทบจะไม่เหลือ กำลังจะแปรสภาพเป็นศูนย์การค้าขนานใหญ่ขึ้นมาแทนที่ ผมจำได้ว่า ได้เข้ามารู้จักกรุงเทพ ฯ เป็นครั้งแรกก็ที่สนามหลวงนี่แหละ ผู้ใหญ่เขาสอนว่า เข้ากรุงเทพ ฯ จะไปที่ใด ถ้าเริ่มต้นที่สนามหลวงแล้ว เป็นอันว่าสำเร็จ รถเมล์ทุกสายต้องผ่านหรือเริ่มต้นหรือสิ้นสุดที่สนามหลวง เสาร์อาทิตย์สมัยที่ยังเรียนหนังสือ ชอบเดินเล่นที่สนามหลวง ร้านประจำที่ชอบไปนั่งไปยืนก็คงเป็นร้านหนังสือ มีหนังสือเก่า ๆ มากมายในราคาถูก ๆ มาหาอ่านอาซื้อได้ที่สนามหลวง ส่วนกิจกรรมที่ชอบไปร่วมมุงดูก็คือปาหี่หรือมายากล ซึ่งสมัยนี้หาดูได้ยาก มีให้ชมแทบทุกเสาร์อาทิตย์ รายการหลักก็คือ พังพอนกับงูเห่ากัดกัน แต่ก่อนจะกลับคนเล่นกลจะต้องขายยาไปก่อนหลายรอบ เล่นเอาคนดูรอแล้วรออีก
ของที่สนามหลวงก็ถูกจริง ๆ จะซื้อถุงเท้ารองเท้า เสื้อผ้า ก็นึกถึงเสาร์อาทิตย์ที่ตลาดนัดสนามหลวง อาหารการกินก็หาได้ไม่ยาก ราคาก็ถูก แม่ค้าหาบเร่หาบขนมจีน ขนมปลากริมไข่เต่า เดินตามฟุตบาทให้เราได้นั่งหรือยืนรับประทาน อีกอย่างที่คนชอบมาหาที่สนามหลวงก็คือ ของเก่า ๆ มาวางปูพื้นวางขายกันมากมาย เลือกซื้อตามใจชอบ
ที่เที่ยวที่เป็นโปรแกรมตามมาก็คือ ตอนบ่ายต่อจากสนามหลวงแล้ว ต้องไปดูมวยเวทีราชดำเนิน ดูมวยฟรีแถมมีดนตรีลูกทุ่งแสดงให้ดูก่อนมวยชก ผมชอบทั้งสองอย่างคือชอบดูทั้งมวยดูทั้งดนตรี แต่ต้องไปขอบัตรชม
ล่วงหน้าจากร้านค้าที่เป็นสปอนเซอร์ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้วที่จะเอามวยกับดนตรีไปเล่นในเวทีมวย
พอเพื่อนเอ่ยคิดถึงสนามหลวง ก็ทำให้คิดถึง “งานวัด“ สมัยก่อนการจัดงานมโหรสพใหญ่ ๆ ประเภทมีการแสดงจิปาถะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ ดนตรี และลิเก ต้องใช้สถานที่กว้างๆ บริเวณลานหน้าวัดจึงเห็นที่เหมาะสม สะดวกอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้ก็มี แต่ถ้าเทียบงานกับสมัยก่อนแล้ว ปัจจุบัน ใหญ่ยิ่งแพ้อดีต อดีตดูใหญ่กว่า เช่นดนตรีก็ว่ากันเป็นวงใหญ่ ๆ นักร้องและหางเครื่อง รวมนักดนตรีเป็นร้อย ๆ ชีวิต แต่ปัจจุบันส่วนมากเอานักร้องดัง ๆ มาคืนละคนสองคนเท่านั้น ลิเกหรือนารถดนตรีก็หาดูได้ยาก หรือถ้ามีก็แทบจะไม่มีคนดู อาจจะเป็นเพราะคนสมัยใหม่ไม่สนลิเก คณะดัง ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป หัวหน้าคณะบางคนก็ผันตัวเองไปเป็นนักร้อง ยังจำได้ว่า เคยมีลิเกสมัยใหม่ที่เล่นระบบแสงสีเสียง มีเหาะเหินเดินอากาศด้วย แต่ปัจจุบันเงียบหายไป เหลือเพียงลิเกแก้บนเท่านั้น
สมัยเด็ก ๆ ผมชอบชมภาพยนตร์ในงานวัด ผู้จัดงานจะมีภาพยนตร์ฉายชนิดที่ไม่ต้องโฆษณาขายยา หนังสมัยก่อนต้องพากย์สด ฉายครั้งหนึ่งก็ต้องพากย์ครั้งหนึ่ง คนพากย์จะตามหนังไปทุกหนทุกแห่ง หนังจะสนุกถ้านักพากย์พากย์ได้อรรถรส มีมุขตลกสนุกสนาน เดี๋ยวนี้นักพากย์หมดอาชีพ เพราะพากย์เสียงในฟิล์ม คือพากย์ครั้งเดียวฉายให้ชมตลอดไป จนกว่าฟิล์มจะพัง ที่ชอบใจคือเขาฉายโต้รุ่ง เล่นเอาเด็กวัดอย่างผมนั่งหน้าจอ ดูหนังจนสว่าง มองหนังที่ฉายไม่เห็นแล้ว จึงยุติการฉาย คืนหนึ่ง ๆ ก็ห้าเรื่องหกเรื่อง เรียกว่าดูกันจนตาแฉะ เล่นเอาเช้าไปโรงเรียนสาย วันนั้นแทบจะไม่ได้เรียน เพราะหลับในห้องเรียน
งานวัดที่ไม่สนุกก็มีเหมือนกัน เช่น งานศพ บางครั้งเด็กวัดต้องทำหน้าที่เฝ้าศาลาสวดพระอภิธรรม งานล้างป่าช้า คือ อะไร ๆ ที่เกี่ยวกับคนตายหรือผี ไม่มีใครชอบ ถามว่าเคยเห็นผีไหม คงตอบไม่ได้ว่าเคยเห็น เพราะไม่มีหลักฐาน คือ ไม่สามารถจับผีมาเป็นหลักฐาน หรือจับผีถ่ายรูปมาแสดง แต่อยากจะบอกว่า ในโลกของเราใบนี้ ยังมีสิ่งเร้นลับที่เรายังไม่รู้อีกมาก
บรรยากาศงานวัดแบบโบราณ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้ว วัดสมัยก่อนดูอึมครึม สมัยนี้วัดสร้างเสียใหญ่โต โอ่อ่า อย่างกับคฤหาสน์ ดูสวยงามมากกว่าดูน่ากลัว งานวัดก็ยังพอมีแต่จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ยุคสมัยเปลี่ยน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา คนรุ่นโบราณไปโรงเรียนยังต้องใส่หมวกกำนัน เอาน้ำใส่กระติกไปกินที่โรงเรียน เดินเท้าหรือหรูหน่อยก็ขี่จักรยาน ต่างกับยุคนี้มีรถยนต์รับส่ง หรือไม่ก็ขับมอเตอร์ไซด์ไปโรงเรียน ตอนเป็นหนุ่มเคยตั้งแต่อยู่ยุคกางเกงขาลีบ จนถึงยุคกางเกงขาบาน จนปรับมายุคขาลีบ และกางเกงยีนส์
โลกสอนเราว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง มนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก ใครเปลี่ยนแปลงเร็วและดีกว่าจะได้เปรียบผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า อย่าตีกรอบหรือกั้นรั้วเอาไว้ หัดคิดออกนอกกรอบบ้าง เราจะได้แซงโลก แต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงต้องระวังหน่อย เปลี่ยนในทางที่ดีมีคุณประโยชน์ อย่าเปลี่ยนอย่างไร้เหตุผล เช่น บางคน โทรศัพท์มารุ่นใหม่ไม่ได้ ต้องทิ้งเก่าซื้อใหม่ อันนั้นทำบ่อย ๆ ก็จนตาย แต่บางอย่างต้องเปลี่ยนแปลงก็ต้องเปลี่ยนแปลง เช่น แต่ก่อนไม่เคยเรียนวิธีใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือไลน์ ถึงวันนี้เราต้องฝึก เรียน และใช้ให้เป็นแล้ว ถ้าถามว่า เราน่าจะเป็นคนแบบไหน อาจจะได้ยินคำตอบต่าง ๆ นานา เช่นเป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นคนน่ารัก ไม่จู้จี้ขี้บ่น ไอ้โน่นก็ไม่ได้ไอ้นี่ก็ไม่ได้ มากด้วยปริมาณและคุณภาพ ไม่พูดมากน่ารำคาญหรือพูดน้อยจนไม่รู้อะไร วันนี้ขอสรุปว่า เราน่าจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้
ข้อหนึ่ง สำคัญประการแรกเลย คือเป็นคนที่สุขภาพดี จิตใจดี สมบัติบางอย่างซ่อมได้ ซื้อใหม่ได้ แต่สุขภาพซื้อใหม่ไม่ได้ ซ่อมนะพอได้ แต่คงจะดีอย่างเดิมไม่ได้ เพราะมีตำหนิเสียแล้ว เรื่องจิตใจดีก็สำคัญครับ คนที่สุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็จะดีตาม เป็นต้น คนหนุ่ม ต้องย้ำเป็นพิเศษ เพราะเหมือนรถยนต์ป้ายแดงออกใหม่ ถ้าใช้เกินกำลัง หามรุ่งหามค่ำ เครื่องยนต์จะพังเร็วกว่ากำหนด แต่บางคนไม่คิดเรื่องนี้ เช่นบ้างานเกินพิกัด หรือ เสเพลไม่เอาอ่าว หวังว่า ค่อยดูแลตนเองเมื่อแก่ ที่ไหนได้ อยู่ไม่ทันแก่ เรียบร้อยไปเสียแล้ว
ข้อสอง เป็นคนที่ไม่น่าเบื่อหน่ายของคนอื่น พูดไม่รู้เรื่อง ไม่รับฟังใคร อีโก้สูง มองคนอื่นออก แต่ดูตัวเองไม่ออก คุยแต่เรื่องนินทาว่าร้ายคนอื่น หรือนั่งด่าแต่องค์กรของตนเอง ชอบกินแรงเพื่อนร่วมงาน คือชอบหลบงาน ไม่รับผิดชอบงาน ไม่ช่วยงานหมู่คณะ ที่จริง ต้องทำตัวให้เป็นที่รักทั้งองค์กร ไม่ใช่ผู้ใหญ่รักผู้น้อยเกลียด หรือผู้น้อยรักผู้ใหญ่เกลียด
ข้อสาม เป็นคนที่ทันสมัยตลอดเวลา ทั้งการแสดงออกทางกิริยามารยาท ทั้งบุคลิก และเป็นต้นทางความรู้ที่ทันสมัย อย่าติดประสบการณ์เก่า ๆ บางอย่างยังใช้ได้ บางอย่างเขาเลิกแล้ว ก็ควรตามให้ทัน สนใจเศรษฐกิจโลก สนใจเรื่องเอ.อี.ซี. งานสังคมไม่เอาเลย งานรวมรุ่นก็ไม่ไป งานรวมญาติก็ไม่ไป งานแต่ง งานศพ ตัดทิ้งหมด ไม่ยุ่งหรือคบค้าสมาคมกับใคร อย่าทิ้งวิถีทางสังคม มิเช่นนั้นเราจะอยู่เดียวดายในโลกใบใหญ่นี้ ใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ให้ได้โดยเร็ว
ผมเคยแนะนำบางท่านในเรื่องนี้ เขาตอบว่า เขาอยู่มาอย่างนี้มาตลอดนานแล้ว ไม่เห็นต้องไปเรียนรู้หรือเพิ่มเติมสิ่งใด เล่นเอาคนแนะนำต้องเงียบไป เพราะเขาเป็นคนเก่งและมีผลงานดี แต่เพราะความคิดเช่นนั้น ปัจจุบันเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จใด ๆ เลย ขอย้ำเตือนสติว่า ในโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก ถ้าคิดอย่างนี้ เราคงไขว่คว้าหาความรู้มากขึ้น อย่าทำตนเป็นคนอิ่มตัวน้ำเต็มแก้ว เราจะไม่เป็นคนโบราณเต่าล้านปี
ข้อสี่ ทำตนเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เวลามีงานมีการขององค์กร ท่านมักจะไม่บอกกล่าวใคร แต่ถ้าผู้ใดไปช่วยงาน หรือไปร่วมงาน ท่านจะกล่าวชมและพูดสองประโยค ประโยคแรก “ ผมไม่บังคับใครแต่ผมอยากรู้ว่าใครมีน้ำใจกับผมบ้าง ” อีกประโยคหนึ่งท่านจะชมต่อหน้าคนอื่นว่า “ เห็นไหมครับ คุณ......มาช่วยงานโดยไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ เขามีน้ำใจกับหมู่คณะ น่าชมเชย ” บางคนคิดเอาว่า ไม่ใช้ไม่วานก็ไม่ใช่หน้าที่ ซึ่งน่าจะเป็นการคิดที่ผิด ๆ เราทุกคนย่อมรู้ว่าตนเองมีประสบการณ์และความสามารถอย่างไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตน งานไหนถนัด งานไหนไม่ถนัด จึงอาสาช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ จะมีประโยชน์ต่อคนอื่นและก็ดีกับจิตใจของเราด้วย
ข้อที่ห้า เป็นคนสุภาพอ่อนโยน เชื่อได้ว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนชอบการพูดก้าวร้าว เย่อหยิ่ง ยโสโอหัง หรือทำตัวเป็นซุปเปอร์แมน คือเก่งเกินคนปกติ หากมีอำนาจ ก็ใช้อำนาจอย่างน่ารักสวยงาม เพราะวันหนึ่งเราตกกระป๋อง จะได้ไม่มีใครเหยียบย่ำซ้ำเติมเรา อย่าแอ็คอาร์ต ถ้าทำตัวเรียบ ๆง่าย ๆ ชีวิตจะมีความสุขและดูน่ารักกว่า
ข้อที่หก ข้อแรกขึ้นต้นก็สำคัญ จบลงประการสุดท้ายนี้ก็สำคัญมากครับ คือเรื่องทัศนคติที่ดีกับชีวิต และสิ่งแวดล้อม คิดในทางที่ดีเสมอ ไม่ว่าชีวิตจะรวย จะจน จะทุกข์หรือสุข หรือบางคนเครียดกับหน้าที่การงาน ไม่ได้ขึ้นตำแหน่ง ก็เครียด เป็นทุกข์ กลุ้มใจ ชีวิตทุกชีวิตจะได้รับสิ่งสุดท้ายของชีวิตเท่า ๆ กัน คือ ความตาย เพราะฉะนั้นจะสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง มีปัญหาแก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง นึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสำเร็จหรือไม่สำเร็จที่สุดก็ได้รางวัลเท่ากัน แก้ปัญหาได้หรือไม่ได้ก็ได้รางวัลสุดท้ายเท่ากันอยู่ดี อย่าไปยึดติดกับเรื่องธรรมดา ถ้าทำดีที่สุดแล้ว เราจะมีความสุขมากกว่า แต่เรื่องนี้บางคนแก้ยาก อีโก้สูง และคิดว่าตนเองเป็นคนเหนือคนอื่น เวลาพูดอะไร จะมีทัศนคติในทางลบเสมอ วิธีที่ผมทำคือ พยายามชิ่งออก ไม่คุยด้วย ไม่อยู่ใกล้ เดี๋ยวโรคทางความคิดจะติดตัวเรา
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งทำงานวินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เขาเล่าให้ฟังว่า ชีวิตเขากับชีวิตน้องชายเขา ต่างกันราวฟ้ากับดิน เขาจบแค่ประถมปลาย เรียนไม่เอาไหน เลยต้องมาทำงานอาชีพนี้ แต่น้องเขาเรียนเก่ง จบปริญญาเอกเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเป็นด็อกเตอร์ เวลาพบกันทีใด เขาก็จะแหย่น้องตลอดเวลาว่า ไม่อายชาวบ้านหรือที่มีพี่ขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ส่วนตนเองหน้าที่การงานออกใหญ่โตขับรถเบนซ์ แต่ปัจจุบันนี้น้องชายเขาเสียชีวิตไปแล้ว อายุไม่ถึงหกสิบปี เป็นด้วยโรคมะเร็ง เพราะทำงานเครียดมาก จริงจังกับงานที่รับผิดชอบ ตบท้ายเขาถามว่า ใครเป็นคนที่โชคดีหรือโชคร้าย คนหนึ่งเรียนสูงการงานและฐานะดีเสียชีวิตแล้ว แต่อีกคนเรียนต่ำฐานะไม่ดีแต่ยังมีชีวิตอยู่
อ่านแล้วตรงใจใคร ขาดหรือมีแล้วข้อใด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับชีวิต แต่ทว่า ถ้ายังยึดติดกับอีโก้ ไม่ยอมเปลี่ยน ก็คงต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมครับ.
Comments