ภาคบังคับ : เด็กเส้น
- Advanced VARIETY Credit by พลชัย เพชรปลอด
- 2 มิ.ย. 2558
- ยาว 2 นาที

เรื่อง / พลชัย เพชรปลอด
เช้านั้น นายเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเซ็งๆ ผมชอบทำตัวขมีขมัน ขยันขันแข็ง ง่วนงุ่นเวลานายเดินผ่านคอกเยี่ยงลูกน้องที่ดีพึงจะกระทำ เพื่อให้ดูว่าได้ใช้เวลาทำงานจนวุ่น
พาร์ติชั่นท่อนล่างทึบ ส่วนข้างบนเป็นกระจกใสที่ล้อมกั้นเป็นรูปพื้นที่ห้องสี่เหลี่ยม ที่ผมเรียกติดปากว่า “คอก” ได้แบ่งอาณาเขตของผู้จัดการฝ่ายทั้งหลายเป็นส่วนๆ อยู่มุมนู้น มุมนี้ของออฟฟิศ
เมื่อยามที่นายเดินเข้ามาทุกเช้า หรือกลับจากการไปเยี่ยมลูกค้า จะต้องเข้าประตูพนักงานริมสุดด้านขวาของออฟฟิศเพื่อเดินผ่านทุกคอกไปห้องทำงานของนายที่อยู่มุมซ้ายสุด ซึ่งจริงๆ แล้วจะเดินลัดเข้าประตูหน้าออฟฟิศที่เป็นทางเข้าออกของลูกค้าก็จะง่ายกว่ากันแยะ แต่นายไม่ทำ
ดังนั้นเมื่อเสียงรองเท้าก๊อกๆ กระทบพื้นมาอย่างเชื่องช้าตามทางเดิน ด้วยมาดนิ่งสุขุมของนาย บรรยากาศภายในออฟฟิศ และทุกคอกก็จะมีอาการง่วนงุ่นทันที ทำเป็นว่าไม่สนใจว่าใครจะมา ไม่มีเวลาเงยหน้าแม้จะรู้ว่าเป็นนาย จะทักทายก็ไม่ทันด้วยเหตุว่าสาละวนอยู่กันงานแต่เช้า
“เฮ้ย...มีลูกน้องใหม่มาให้คนนึงว่ะ...” เสียงนายพูดเนิบๆ แบบมีอำนาจ ผมจึงต้องผละจากงานเงยหน้าสบตาและทักทาย นาทีนั้นถ้าได้กินมะนาวสักนิดเพื่อลดความระรื่นบนใบหน้าให้ดูเข้ากับลีลาง่วนกับงานก็คงจะดีไม่หยอก เพราะก่อนหน้านั้นสักเล็กน้อยอารมณ์ฮาของโจ๊กยามเช้า ยังไม่คลายจาง “ลูกสาวเพื่อนนายใหญ่ เขาอยากทำงานกับบริษัทเรา นายใหญ่จึงฝากมา ยูเอาไว้ทำงานด้วยแล้วกัน เห็นว่าเด็กคนนี้จบ MBA มาจากอังกฤษ ไปอยู่นั่น 4-5 ปี คงจะมาช่วยยูได้ดี...” จบคำสาธยายสรรพคุณของผู้ที่จะมาเป็นลูกน้องใหม่ในสายงานการตลาดที่ผมดูแล ฟังดูก็เข้าทีดี แต่ขณะที่ในใจผมก็อดคิดไม่ได้
“กูอีกแล้ว...เด็กฝากมาทีไร ลงที่นี่ทุกที ใครอยากย้ายแผนก ฝ่ายไหนไม่ต้องการใคร ก็ขอฝากมาแปะไว้ตรงนี้ทุกที น่าเบื่อจริงๆ ถามสักคำก็ไม่มีว่าอยากได้หรือเปล่าไอ้แบบนี้เขาเรียกว่าเข้าข่าย วิชาบังคับเลือก นี่หว่า” นึกบ่นในใจอีกยาวด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ทำไมนายไม่รู้จักปฏิเสธชาวบ้านเขามั่งนะ เวลาใคร ฝากเด็กเข้ามาทำงาน ก็ได้แต่รับ รับ รับ แล้วก็รับเข้ามา ไม่เคยถามไถ่กันก่อนเลย ว่าเรา อยากได้มั้ย แค่นี้คนก็ล้นจนนึกมุขหางานให้ทำไม่ค่อยจะทันแล้ว
“ทำไมเวลามีเด็กฝาก เราต้องรับเข้ามาทำงานด้วยล่ะครับ ไม่ส่งไปบริษัทในเครืออื่นๆ บ้างล่ะครับ...” ผมกัดฟันกลั้นใจรวบรวมความเบื่ออันเหลืออด กับการที่นายชอบรับฝากเด็กเข้ามาทำงานแล้วก็ชอบ มาแหมะลงตรงฝ่ายงานของผม เราเองก็อุตส่าห์วางสีหน้าเฉยๆ ไม่พูด ไม่บ่น ทนรับมาหลายงานแล้ว ถามซะให้รู้แล้วรู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่งั้นคาใจอีกนาน ได้ผลทันที ไม่ทันที่นายจะชักขาพ้นคอก ให้เกิดอาการสะดุดหยุดกึกด้วยคำถามสั้นๆ แต่โดน หันหลัง กลับมามองหน้าผม ยืนเอามือเท้าเหลี่ยมพาร์ติชั่นก่อนที่จะเริ่มคำอธิบายด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นสันหลังของผมเล็กๆ “ถ้าปฏิเสธแล้วนายใหญ่เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ? ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตขนาดนี้ ก็แค่ช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่มีบุญคุณกับเขา เพียงแต่ให้งานลูกหลานเขาทำ แน่นอนไม่มีคนต้องการเด็กฝาก เด็กเส้น ทุกคนปฏิเสธหมดแล้วถ้าไอปฏิเสธด้วยอีกราย นายใหญ่จะทำอย่างไรวะ” สิ้นน้ำเสียงเรียบๆ ด้วยคำถามทิ้งท้ายก่อนหันหลังเดินกลับห้องไป ทำเอาผมรู้สึกชาๆ ตามใบหน้าพอ สมควร ได้แต่คิดในใจ “ไม่น่าถามเลยกู”
แต่นั้นมาผมเองจึงได้คิดว่า ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึกอึดอัดต่อเด็กฝาก ทว่าอาการจำใจรับเด็กฝาก นายก็ต้องเผชิญเหมือนกัน และเผชิญมากกว่าผมด้วยซ้ำ ใช้สินะ ผมลืมคิดไปสนิทใจเลยว่า “ถ้าปฏิเสธ แล้วคนที่เป็นนาย คนที่อุตส่าห์ไว้วางใจเลือกเราเป็นผู้สานต่อภาระ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน...” เอาเป็นว่า นับแต่นี้เป็นต้นไปผมจะไม่ถามคำถามโง่ๆ แบบนี้กับนายอีก และผมจะยอมรับเด็กเส้น เด็กฝากทุกคนด้วยความเต็มใจ จะเรียนรู้และหาสิ่งที่เหมาะสมให้เขาทำ
ความตั้งใจอันดีงามของผมดำรงอยู่ในความมุ่งมั่นอีกไม่กี่วัน ผมก็ได้พบตัวจริงของลูกน้องคนใหม่ที่ส่ง มาจากนายใหญ่ แล้วความตั้งใจที่จะมองเด็กฝากในมุมดีงามของผมก็เริ่มถูกสั่นคลอน
เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็ก หุ่นเหมือนนางแบบแฟชั่นสมัยใหม่ ผิวขาวแบบผู้ดีมีสตางค์ทั่วๆ ไป ขับรถยุโรป รุ่นใหม่คันโต จนทำให้หัวหน้าอย่างเราต้องรู้สึกต่ำต้อยไปในบัดดล แต่นั่นก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะไม่รู้จะไปควานหาบุญวาสนาที่ไหนมาแข่งด้วย
ท่าทางเชื่อมั่นเกินกว่าเหตุของเธอ คงจะถูกหล่อหลอมมาจากชาติตระกูล สังคมแวดล้อม การเป็น เด็กจบนอก และอยู่ในแวดวงไฮโซของเธอ ทำให้นาทีแรกที่พบกัน ผมรู้สึกลำบากใจที่จะทำงานร่วมกับเธอในทันที “ลองสักตั้งวะ” ได้แต่คิดในใจ หลังจากพูดคุยซักถามประวัติกันแต่พองาม ก็พาเธอไปแนะนำให้กับพนักงานคนอื่นๆ ในฝ่าย นั่นยิ่ง ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทันที ด้วยเหตุว่า ทั้งแววตาของเธอและแววตาของคนอื่นๆ ในฝ่ายงาน ต่างไม่ค่อยจะโฉลกกันอยู่ลึกๆ นัยว่าเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันชัดเจนระหว่างเธอและคนอื่นๆ ในฝ่าย ซึ่งนาทีนั้นคงต้องนับรวมผมเข้ากับฝ่ายมากด้วยเช่นกัน ผมสังเกตบรรยากาศคุกรุ่นในฝ่ายค่อยๆ ก่อตัวทีละเล็กละน้อย ขณะที่เธอ ลุค ดาวน์ พนักงานคนอื่น เธอก็ถูกตอบโต้ด้วยการตั้งป้อมไม่ยอมรับจากทุกคนในฝ่ายด้วยเช่นกัน ฝ่ายงานที่ผมดูแล ความสามัคคี รักใคร่กลมเกลียว ฮาเฮ กินเหล้า ลุยงานทุกรูปแบบ กำลังถูกสั่น คลอนด้วยเหตุที่ผมต้องพยายามทำตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างเธอและไม่เข้าข้างใคร ดูเหมือนว่าจะเริ่มเป็นรอยร้าวภายในมุมที่มองไม่เห็นซะแล้ว

เหมือนกับงูเหลือมมาเข้าเล้าไก่ให้ปั่นป่วน ยังไงยังงั้น แม้จะเข้าใจนายที่จำใจต้องรับเด็กคนนี้เข้ามา แต่นาทีนี้ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก เคืองนาย อยู่เงียบๆ ฝ่ายงานของเรานั้นมีหน้าที่หลักคือ หารายได้เข้าบริษัท เป็นทั้งฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดด้วยในเวลา เดียวกัน เราพยายามใช้คนที่ทำข้อมูลการตลาดให้น้อยที่สุด ขณะที่รับไม่อั้นกับคนที่จะเป็นพนักงานขาย เพราะคือผู้ที่ทำรายได้มาเลี้ยงองค์กร หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผมประเมินว่าเธอไม่เหมาะกับหน้าที่อื่นใดในฝ่ายงาน ที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ ความละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะการเสี่ยงกับตัวเลขหรือ ข้อมูลต่างๆ ดังนั้นก็คงจะเหลือหน้าที่สุดท้าย หลังจากพยายามให้เธอได้ลองมาหมดแล้ว และสรุปได้ชัดเจนว่า “ไม่ได้ความ” ด้วยอาจเป็นเพราะ MBA ที่เธอเรียนนั้นเป็นภาคภาษาอังกฤษ คงจะใช้ในเมืองไทยได้ยากเป็นแน่ ในที่สุดผมจึงตัดสินใจเรียกเธอมาคุยเพื่อมอบหมายหน้าที่สุดท้ายที่เธอยังไม่ได้ทำ คือ “เป็นพนักงานขาย” “หนูจะไม่เป็นเซลส์โดยเด็ดขาด ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน เพราะหนูเกลียดการเป็นเซลส์” เธอประกาศจุดยืนอย่างหนักแน่น ชัดเจน หลังจากที่ผมเพิ่งแย้มพรายให้ทราบว่าเธอจะต้องทำหน้าที่ อะไร อาการปวดขมับแทบจะจับไข้ให้บังเกิดในทันที ผมรู้สึกอย่างเดียวนาทีนั้นว่า “นายส่งยายนี่มาทำไมว้า..ยุ่งฉิบห....” อุตส่าห์เข้าใจในที่สุดก็อดไม่ได้ที่ต้องกลับไปเบื่อนายอีกคำรบ ด้วยเหตุว่าส่งเด็กเส้นใหญ่มาป่วนชีวิต แท้ๆ จะไล่ออกก็ไม่ได้ ขอให้ย้ายไปที่อื่นก็คงไม่ได้ จะให้อยู่เฉยๆไม่ให้ทำอะไรก็ไม่ได้ จะให้ทำหน้าที่อื่นๆ ในฝ่ายก็ไม่ได้ เหลือขายอย่างเดียว ซึ่งเธอก็บอกมาอย่างชัดเจนว่า “ทำไม่ได้” ระบบประมวลผลของสมองทำงานหนักจนรู้สึกเครียด เริ่มต้องหาทางออก แม้จะงงๆ ตัวเองว่า ตกลง เราเป็นนายหรือลูกน้องมันวะเนี่ย ปล่อยให้มันมานั่งต่อรอง เลือกงานได้ด้วย “ทำไมคุณเกลียดเซลส์” ผมตั้งคำถาม “เกลียด ไม่ชอบ ไม่อยากไปเดินขายของ ไม่ชอบง้อใคร เหมือนขอทาน” เธอตอบพร้อมทำท่า ขยะแขยง จนแยกไม่ออกว่าขยะแขยงในการเป็นเซลส์ หรือขยะแขยงผมที่นั่งอยู่ตรงหน้า ผมครุ่นคิดหาทางออกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ตะล่อมถามเธอทีละคำถาม “คุณคิดว่า คุณคุยกับผู้คนนอกออฟฟิศได้มั้ย” ผมเปิดคำถามแรก “ได้...คุยกับใครก็คุยได้” เธอตอบลากน้ำเสียงจนผมอดนึกไม่ได้ว่า ถามคำถามอะไรที่โง่เกินไปหรือ เปล่า “ถ้าผมให้คุณเอาเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัท เกี่ยวกับธุรกิจที่เราทำ ไปคุยกับคนที่ผมจะนัดให้คุณไปคุย คิดว่ามีอะไรยุ่งยากมั้ย” ผมเริ่มรุกด้วยคำถามที่สอง “ก็คงไม่ยุ่งยาก” “ถ้าเกิดว่าเขาถามถึงสินค้าของเรา หรือเลยเถิดไปถึงราคาด้วย คุณพอจะท่องจำไปตอบด้วยได้มั้ย” ผม รุกคืบ “คงไม่เยอะจนจำไม่ไหวใช่มั้ย” เธอย้อนถามกลับมาเล็กๆ “ไม่เยอะหรอก” ผมสร้างความมั่นใจให้ก่อนจะรีบรุกหน้าต่อไป “ในกรณีที่เขาถามคุณถึงราคาสินค้า แล้วถามถึงส่วนลดอะไรประมาณๆ นี้ ผมให้อำนาจการตัดสินใจคุณในระดับหนึ่งในการพูดคุยต่อรองกับเขา คุณว่าจะยุ่งยากมั้ย” “ง่ายจะตาย ไม่เห็นจะยากเลย” เธอตอบหน้าเชิดเล็กน้อยด้วยลีลาสาวมั่น ที่เริ่มรำคาญกับคำถามโง่ๆ ของผม “โอเคนะ ถ้าอย่างนั้นคงจะให้คุณทำงานในตำแหน่ง มาร์เก็ตติ้ง โค-ออดิเนเตอร์ เป็นผู้ประสานงานด้านการตลาด โอเคมั้ย” ผมสรุปจบปิดท้าย ซึ่งเธอก็ยิ้มกับตำแหน่งอันฟังดูดีที่ผมเพิ่งปิ๊งขึ้นมาได้ฉับพลัน ทำให้ถอนหายใจโล่ง อกไปได้แม้ในใจจะยังเคืองนายอยู่เล็กๆ ก็ตาม
Comments