พลิกปูมความสำเร็จ “ภูษิต ศศิธรานนท์” สร้างแต้มต่อ “เอ็กซ์โปลิงค์ฯ” สู่แชมป์ตลาดเอเซีย
- credit : ธุรกิจก้าวหน้า ฉบับที่ 313/58
- 28 เม.ย. 2558
- ยาว 4 นาที

ภายใต้ความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับของแวดวง TRADE FAIR ORGANIZER ซึ่งเป็นสายงานใหม่ที่กำลังเพิ่มความสำคัญมากขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ถือว่า “ภูษิต ศศิธรานนท์” เป็นมือหนึ่งของประเทศไทย ผลงานได้ตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของเขาในฐานะมืออาชีพ เป็นผู้ที่สามารถประกาศตัวให้สังคมธุรกิจได้รับรู้ว่า เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการจัดงานระดับใหญ่ๆ หลายๆ งาน ทั้งไทยและต่างประเทศ สามารถสร้างงานและสร้างเงินให้แก่ผู้ประกอบการนับแสนราย และผู้ชมงานอีกหลายๆ คนในรูปของงานแสดงสินค้า นิทรรศการ การสัมมนา และการประชุมนานาชาติ ทั้งในและต่างประเทศ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในฐานะนักจัดการมือโปรที่โลดแล่นอยู่ในวงการแสดงสินค้าหรือที่เรียกว่า เทรดแฟร์ บทบาทของ ภูษิต ศศิธรานนท์ เป็นนักจัดการที่ดี มีความรู้ความสามารถซึ่ งธุรกิจด้านนี้เป็นธุรกิจที่มีคนน้อยรายจะทำให้ได้ประสบความสำเร็จ หรือเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง แต่ก่อนจะถึงจุดนี้ เขาได้ก่อสร้างตัวมานับสิบๆ ปีด้วยความมานะอุตสาหะบากบั่นกับงานด้านนี้ งานที่เขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยน แต่ความสำเร็จของงานในวันนี้ ได้เปลี่ยนแปลงเขาอย่างมากมาย จนบริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด เป็นผู้นำในตลาดไทยและเอเชีย

ภูษิต ศศิธรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด ได้เล่าถึงประวัติตนเอง เขาได้เรียนจบปริญญาถึง 2 ใบ ทั้งปริญญาตรีคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และปริญญาโท สาขาการตลาด จากประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นจึงผันตัวเองเข้าสู่ชีวิตการทำงานครั้งแรกในแวดวงโฆษณาตำแหน่งครีเอทีฟ ในตำแหน่ง Account Supervisor ที่แฟล็กชิพ แอดเวอร์ไทซิ่ง ดูแลสินค้าจัสปาล กรุ๊ปและ JVC ซึ่งการผ่านงานโฆษณาเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้รู้เรื่องสินค้าและบริการของบริษัทมากมาย จึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ให้กระโดดเข้าสู่แวดวงการจัดงานแสดงสินค้านิทรรศการในตำแหน่งผู้จัดการโครงการ บริษัท Bangkok Services ของอังกฤษ และได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการที่ไบเทคในเวลาต่อมา
เมื่อมีลู่ทางและประสบการณ์เพียงพอ จึงก่อตั้งบริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ เน็ทเวอร์ค จำกัด ธุรกิจของตัวเองขึ้นในปี 2545 โดยมีลูกค้าเริ่มต้นคือ โคโลญแมสเซ่เยอรมัน ผู้จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการยักษ์ใหญ่อันดับ 4 ของโลก ซึ่งภูษิต ศศิธรานนท์ได้กล่าวถึงเริ่มต้นธุรกิจว่า “ทางโคโลญแมสเซ่มีความต้องการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการในไทย ก็ถามว่าสนใจจะเข้ามาจัดงานในเมืองไทยมีอะไรบ้าง ผมก็ไปพบเขาที่สิงคโปร์ได้ทำ Presentationให้เขาดู ทางโคโลญแมสเซ่ก็กำลังจะมาเปิดออฟฟิศในไทย ในปีนั้นคือ 2002 ซึ่งการทำPresentation ประมาณ 10 กว่าหน้าชื่องานว่า World of Food Asia นะครับ เขาก็กลับไปที่โคโลญ ก็ไปเจราจาว่าจะมีลู่ทางอย่างไรบ้าง ผมและมร.ดรายเออร์ หุ้นส่วนของผม เราก็แบ่งงานกันว่า ทางเยอรมันโดยมร.ดรายเออร์ก็จะไปหาลู่ทางของเขา ผมก็จะมาหาลู่ทางในเมืองไทย ในเมืองไทยผมก็ได้ติดต่อหอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย ได้เรียนขอพบท่าน ดร.อาชว์ เตาลานนท์ ซึ่งท่านเป็นประธานหอการค้าในตอนนั้น ก็บอกว่าโคโลญแมสเซ่อยากจะจัดงานเกี่ยวกับแสดงสินค้าอาหารขึ้นในเมืองไทย ท่านประธานหอการค้ามีแนวคิดอย่างไรบ้าง ท่านก็มีความสนใจอย่างมาก เพราะท่านรู้จักงาน Anuga ซึ่งโคโลญแมสเซ่จัดงาน Anuga ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ ซึ่งก็เป็นโอกาสดี ถือว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย ท่านก็เห็นด้วยว่างาน World of Food Asia สามารถจัดขึ้นได้ แต่น่าจะมีความร่วมมือที่ใหญ่กว่านี้ โดยไปชวนกระทรวงพาณิชย์มาร่วมจัดด้วย ผมก็ไปเชิญทางโคโลญแมสเซ่มาพบกับทางหอการค้า หอการค้าก็ได้ไปเรียนปรึกษากับกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2002 ปลายๆปี ก็นำมาหารือกัน 3 ฝ่ายระหว่าง โคโลญแมสเซ่โดยมีผม ซึ่งตอนนั้น เอ็กซ์โปลิงค์เป็นบริษัทเอกชนธรรมดา (ยังไม่ได้มีการถือหุ้นของโคโลญแมสเซ่) เป็นตัวเชื่อม ช่วยกันเจราจาทั้ง 3 ฝ่าย มีโคโลญแมสเซ่ มีหอการค้า และก็กระทรวงพาณิชย์ มีการเจรจากันอยู่ปีครึ่ง ก็เกิดงาน THAIFEX-World of Food ASIA เป็นครั้งแรกจัดขึ้น ปี 2004 ที่อิมแพค เมืองทอง ซึ่งแต่เดิมกรมส่งเสริมการส่งออก (ปัจจุบันคือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ)จั ดงานที่อิมแพคอยู่แล้วซึ่งเน้นเรื่องการส่งออก แต่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก็มีแนวคิด Internationalize ซึ่งทำให้งานแสดงสินค้าเป็นศูนย์กลางในเอเชีย
เริ่มจัดงานครั้งแรกเดือนพฤษภาคมปี 2004 งาน THAIFEX-Worldof Food ASIAพื้นที่ประมาณ 3 หมื่นตารางเมตร ในปีแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สำหรับปีนี้ย่างเป็นปีที่ 11 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำให้งาน THAIFEX-World of Food ASIA ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน 3 ในเอเชีย
ทางโคโลญแมสเซ่เยอรมันเห็นว่าเอ็กซ์โปลิงค์ฯ สามารถเอื้อประโยชน์กันในการขยายตลาดการจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ การสัมมนา และการประชุม ไปอย่างมั่นคง เพียง 2 ปีจึงได้เข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทฯในสัดส่วน 26 เปอร์เซ็นต์ การเข้ามาร่วมทุนของโคโลญแมสเซ่ครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ทั้ง 2 บริษัททางด้านการจัดงานแสดงสินค้าในไทยและอาเซียน รวมถึงยังช่วยตอบสนองความต้องการของผู้เข้าแสดงสินค้าและผู้ชมงานได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯตั้งเป้าขึ้นอันดับ 1 ในการจัดงานแสดงสินค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกภายใน 3 ปีนี้

ภูษิต ศศิธรานนท์กล่าวต่อไปว่า “กลยุทธ์ที่จะทำให้เป็นเบอร์ 1 ในตลาดเอเชีย คือ การที่เราได้พัฒนาโครงสร้างและศักยภาพภายในองค์กร การได้จัดงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งการได้ใช้เน็ตเวิร์คของโคโลญแมสเซ่ที่มีอยู่ 80 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการจับมือครั้งนี้จะทำให้เราจะได้เรียนรู้กลยุทธ์ Know-how และระบบ Database ของ โคโลญแมสเซ่ ส่วนทางโคโลญแมสเซ่จะได้ในแง่เครดิตและ Positioning ในไทย ซึ่งหมายถึงรวมทั้งอาเซียนด้วย”
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้สิ่งที่บริษัทฯจะได้ อาทิ การเชื่อมโยงเทคโนโลยี การเข้าร่วมงานใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ และการเข้ามาร่วมงานแสดงของต่างชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ทั้ง 2 บริษัทร่วมงานกัน เช่น THAIFEX ซึ่งงาน THAIFEX-World of Food ASIA ปี 2015 ฉลองจัดงานมากกว่า 10 ปี จัดสุดอลังการ เพิ่มพื้นที่ใหญ่ถึง 73,000 ตารางเมตร ให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสงานแสดงสินค้าที่ยอดเยี่ยมและเข้มข้นกว่าเดิม เพื่อรองรับผู้เข้าร่วมงานที่มากขึ้น รวมถึงภาคการผลิตขยายตัวเป็นทวีคูณ โดยจากกลุ่มต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเช่นจาก บราซิล ญี่ปุ่น เกาหลี และตุรกี และมีประเทศใหม่ๆ จากเยอรมนี เปรู เม็กซิโก เข้าร่วมด้วย พร้อมเพิ่มพื้นที่จัดงาน World of Food Service สำหรับภาคการผลิตในอุตสาหกรรมการบริการอาหารให้ยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นเตรียมพบกับงาน THAIFEX-World Of Food ASIA 2015
ภูษิต ศศิธรานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด ในฐานะตัวแทนและเป็นหุ้นส่วนกับโคโลญแมสเซ่เปิดเผยต่อไปว่า “บริษัทฯ ได้ร่วมกับ โคโลญแมสเซ่ในการจัดงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX-World Of Food ASIA ที่ได้จัดงานมาแล้วเป็นปีที่ 11 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และในปี 2558 นี้ จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20 – 24 พฤษภาคม 2558 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1,2,3 และอิมแพค ฟอรั่ม เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9 ศูนย์แสดงสินค้าเมืองทองธานี และในปี 2558 จะมีการขยายพื้นที่การจัดแสดงที่ใหญ่กว่าเดิมถึง 73,000 ตารางเมตร เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสงานแสดงสินค้าที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม เข้มข้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงานได้พบสินค้าใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น พร้อมทั้งได้ชมรายการต่างๆ ที่สรรสร้างมา เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมนี้ ช่วยให้ผู้เข้าชมงานได้รับประสบการณ์เฉพาะด้านมากขึ้น จึงได้ขยายพื้นที่จัดงานแสดงงานให้กว้างขึ้น และจะจัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับภาคการผลิตในอุตสาหกรรมการบริการอาหาร
สำหรับการขยายพื้นที่ในครั้งนี้คือ พื้นที่ World of Food Service พื้นที่สำหรับภาคการผลิตในอุตสาหกรรมการบริการอาหารที่อิมแพค ฟอรั่ม เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9 ซึ่งออกแบบมาเพื่อสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมบริการอาหาร ซึ่งปี 2557 ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น โดยในงานจะมีรายการต่าง ๆ มากมายที่ออกแบบมา เพื่อเพิ่มทักษะความรู้และส่งเสริมช่องทางในการสร้างเครือข่าย โดยภาคอุตสาหกรรมบริการอาหารทั้งหมดจะจัดแสดงซึ่งประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ เช่น อุปกรณ์ทำขนมอบ อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ใช้เคาน์เตอร์และครัว เทคโนโลยีแช่เย็นและแช่แข็ง เทคโนโลยีซอฟแวร์สำหรับภาคบริการ การให้คำปรึกษาและบริการระบบการจัดจำหน่าย โต๊ะอาหารและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร จนถึงผ้าปูเตียง และเครื่องแบบ นอกจากนี้ผู้เข้าชมงานจะได้พบสินค้าใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากกว่าเดิม และจะได้ชมรายการต่างๆ ที่สรรสร้างมาเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมนี้”
ภูษิต ศศิธรานนท์ กล่าวต่อไปว่า “ในปีที่ผ่านมา มีนานาประเทศเข้าร่วมงาน THAIFEX-World of Food ASIA มากยิ่งขึ้นและทำให้มีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะ World of Food Service ที่มีการเติบโตเป็นอย่างมาก โดยในพื้นที่ World of Food Service จะมีการจัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับแข่งขันทำอาหารระดับโลกสามรายการ คือ รายการ Continental Selection of the Global Chefs Challenge, Hans Bueschkens Young Chefs Challenge และ Global Pastry Chefs Challenge ซึ่งดูแลโดย Worldchefsหน่วยงานด้านเชฟระดับโลก จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ส่วน Thailand Ultimate Chef Challenge ผู้ให้การสนับสนุนเรามาตลอดในงาน THAIFEX-World of Food ASIA จะทำหน้าที่ต้อนรับเชฟที่จะเข้าร่วมแข่งขันจากภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และอินโดจีนเป็นปีที่สี่อีกด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายและการหาช่องทางต่าง ๆ มาจัดประชุม โดยมีวิทยากรระดับโลกมาร่วมประชุมอย่างงาน Asian Food Franchising Forum ซึ่งจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาและโอกาสด้านต่าง ๆ ในธุรกิจ ใน Food Service Forum ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจากประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน จะพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาด้านการดำเนินงาน และนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานเตรียมพบกับการแนวคิดใหม่ร วมถึงกรณีศึกษาอีกด้วย และนอกจากนี้ยังมีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดเหล่านี้ กับผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจบริการอาหาร ส่วน World of Food Safety Conference
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจด้านกาแฟ ที่ต้องการยกระดับและพัฒนาตัวเองให้ทันสมัย สามารถเข้าอบรมที่ผ่านการรับรองจาก SCAE และการอบรม Boncafe Training ซึ่งสอนโดยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในด้านนี้โดยเฉพาะ และที่ไม่ควรพลาดคือ Celebrity Coffee Bar แชมป์บาริสต้า คนล่าสุดจากทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2015 จะมาแสดงฝีมือ และร่วมแบ่งปันความรู้ ส่วน Out of the Box โดย La Marzocco ที่มีแนวคิดล้ำยุคที่เคยได้รับการนำเสนอในสตอกโฮล์ม (สวีเดน) เอเธนส์ (กรีซ) เบิร์กลีย์ (สหรัฐอเมริกา) และมิลาน (อิตาลี) ก็เข้ามาจัดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัวในเอเชีย
สำหรับงาน THAIFEX-World of Food ASIA ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหาร ทั้ง 10 ครั้งมีพัฒนาการดีขึ้นทั้งในแง่จำนวนและความหลากหลายของผู้เข้าร่วมงาน มีความเป็นนานาชาติมากขึ้นสะท้อนว่า ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กมีศักยภาพสูง ดูจากหลายเรื่องเช่น การนำเสนอที่ดึงดูดได้ดี นวัตกรรมใหม่ๆ ไม่แพ้ต่างประเทศ รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ผลไม้แปรรูป ซึ่งทำให้เห็นทั้งความคิดใหม่ๆ และความแตกต่างในตัวสินค้าที่มีมากขึ้น แต่ความเล็กของธุรกิจทำให้ผู้ประกอบการฯ ไม่สามารถทำทุกอย่างได้เอง จึงควรหาเครือข่ายมาช่วย โดยเลือกทำและใช้เวลากับจุดแข็งของตนเอง อย่าเสียเวลาไปกับจุดอ่อน เพราะถึงจะพยายามมากเท่าไรก็ยากที่จะทำได้ดีและไม่คุ้มค่า”

บทบาทของ Trade Fair Organizer คือการเป็นนักจัดการ ซึ่งเป็นการประสานประโยชน์แก่ Stakeholder หรือคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในงาน โดยองค์ประกอบหลักๆ คือ Exhibitors หรือผู้เข้าแสดงสินค้า และ Visitors หรือผู้เข้าชมงาน รวมทั้งภาครัฐ สมาคม และองค์กรต่างๆ ที่มักจะเข้ามาเป็นผู้สนับสนุน สำหรับนักจัดงานที่ดี จะต้องสร้างความสมดุลในงานที่จัดขึ้นให้ได้ ในเรื่องนี้ ภูษิต ศศิธรานนท์ กล่าวว่า “ความยากของธุรกิจด้านนี้อยู่ที่เรื่องการจัดการ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย Stakeholder Management มีความสำคัญที่สุดเป็นจุดสำคัญ เพราะว่าเวลาเราจัดงาน เหมือนตบมือข้างเดียว ไม่ดัง ซึ่งเราคิดจะจัดอะไรก็ได้ แต่ถ้าคนในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมไม่ตอบรับ ก็จะไม่เกิด หรือคนในอุตสาหกรรมตอบรับ แต่ลูกค้าคนในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นไม่ตอบรับก็ไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นคนที่เป็น Organizer จะต้องทำให้ทุกฝ่ายเห็นประโยชน์ เป็นการประสานประโยชน์ของทุกฝ่าย การที่มีส่วนร่วมในงานหนึ่ง ทุกคนจะได้ประโยชน์ทั้งหมด อันเป็นมุมยาก ยากที่ความเข้าใจ ในการฝึกคนขึ้นมาทำงานด้วย ในแง่ของคนเราต้องมีความเข้าใจ ใช้คนมากก็ไม่ได้มีประโยชน์ หรือว่าใช้คนที่ไม่มีความเข้าใจ ก็อาจจะไม่มีประโยชน์ จะต้องเป็นคนมีInterpersonal Skill สูงมาก ต้องเข้าใจว่า คนๆนี้ เขาต้องการอะไร หน่วยงานนี้ต้องการประโยชน์อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทจัดงานขึ้นมา ผู้จัดงานต้องมีความสุขที่มีผู้เข้าชมงานที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และผู้เข้าชมงานเมื่อเข้ามาจะรู้สึกว่าได้ประโยชน์จากการเข้าชมงาน คนที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก็รู้สึกได้ประโยชน์เช่นกัน
โดยเฉพาะหน่วยงานราชการก็มีความรู้สึกว่า ได้มีเวทีเผยแพร่ผลงานของตนเอง สมาคมก็มีเวทีในการที่จะแสดงออกบางสิ่งบางอย่าง คือทุกๆ คน จะต้องสมประโยชน์ทุกฝ่ายในสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่แค่เธอและฉัน แต่ต้องเธอและฉันและเราและเขาทั้งหมดด้วย มันมีความยาก...ยากมากตรงนี้ที่จะประสานประโยชน์ให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ โดยไม่มีใครเสียประโยชน์”
เอ็กซ์โปลิงค์ฯ รุกธุรกิจงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศเต็มสูบ แม้จะมีพันธมิตรยักษ์ใหญ่ โคโลญแมสเซ่ อันดับ 4 ของโลกเสริมความแกร่งให้ธุรกิจก็ตาม แต่การเจาะตลาดในแต่ละตลาดย่อมมีความแตกต่างกันมากในเรื่องนี้ ภูษิต ศศิธรานนท์ ได้ให้ความเห็นว่า “ก่อนที่เราจะเจาะกลยุทธ์นี้ จะต้องรู้ว่าการตลาดตรงนั้นขาดอะไรบ้าง ก็เป็นหลักว่าเราจะสร้างการได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไรบ้าง แล้วทำไมงานที่เราทำจะประสบความสำเร็จ จะต้องหาจุดเช่น ประเทศไทยขาดอะไรหรือเกินอะไร แล้วงานของเราช่วยตอบโจทย์ในอุตสาหกรรมแขนงนั้นอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่เราช่วยตอบโจทย์จริงหรือเปล่า และคนในวงการนั้นๆ เห็นด้วยหรือเปล่า อย่างนี้แหละครับ ช่องว่างของการตลาดมักจะมีปัญหาอยู่เสมอเพราะมันเป็น FREE TRADE MECHANISM จะสังเกตได้ว่างาน THAIFEX เราจัดการได้ดีจริงตามความต้องการของทุกฝ่าย
การขยายพื้นที่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการขยายของการเติบโต การเติบโตมันมาจากอะไร มาจากที่เราไม่หยุดทำ เปรียบเช่น ใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำสม่ำเสมอ เช่นเดียวกันในการจัดงานแสดงสินค้า ฯลฯ เราก็จะเน้นคุณภาพทุกด้านทุกฝ่าย ทั้งผู้จัดและผู้เข้าชม โดยพร้อมที่จะลงทุนและให้ความสำคัญต่อคุณภาพต่อผู้เข้าชมงาน โดยเฉพาะงาน THAIFEX มีต่างชาติ เข้ามา 20 เปอร์เซ็นต์ ปีนี้ลงทะเบียนล่วงหน้าจากทั่วโลกประมาณ 6,000 คน การลงทะเบียน 6,000 คนนี้ ส่วนใหญ่ตอบรับมาประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นการตอบรับที่สูงมาก งาน THAIFEX นี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ผ่านวิกฤตต่างๆ ทางการเมืองมา เพราะฉะนั้นจึงสามารถยืนหยัดได้เพราะคุณภาพของผู้จัดงานฯ และของผู้เข้าชมงาน มีการปรับปรุงพัฒนา ทุกๆปี จะสังเกตได้ว่าในแง่เนื้อหานั้น ยกตัวอย่างเช่น Food and Vegetable หรือ กลุ่มผักผลไม้ ก่อน 10 ปีที่แล้ว ผมเห็นมะม่วงเป็นลูกๆ มาโชว์ เดี๋ยวนี้น้อยมาก จะเป็นลักษณะแปรรูป แบบล้ำสมัยมาก เป็นธุรกิจสากลมากขึ้น ธุรกิจกาแฟเดี๋ยวนี้ดีมาก ตอนนี้เราเห็นการเติบโต มีเครื่องทำไอศครีม มีระบบขนส่งเข้ามา มีเทคโลยีเข้ามา สำหรับ SME มากขึ้น ฟู้ดเทคโนโลยี คือเราเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงนั้น ไม่หมายความว่างานเราโตอย่างเดียว แต่สินค้ายังคงเดิม คือลูกค้าหรือผู้แสดงสินค้ากับผู้จัดต้องเติบโตไปพร้อมกันทั้งหมด”
ในฐานะมืออาชีพนักจัดงานที่ดี เมื่อประสบปัญหาเกิดงานที่ดำเนินการอยู่ไม่ราบรื่นไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จะมีความรู้สึกมากน้อยแค่ไหน ประเด็นปัญหานี้ ภูษิตกล่าวว่า “ส่วนใหญ่จะรู้สึกค่อนข้างน้อย เพราะว่าเราเป็นคนทำงานค่อนข้างระมัดระวัง งานทุกงานมันมีความพึงพอใจ ระดับความพึงพอใจที่ต่างกัน งานจะล้มเหลวสิ้นเชิงไม่ได้ เพราะว่างานในแต่ละงาน จะไม่สมบูรณ์ทุกงานแต่จะต้องปรับปรุงตลอดเวลา เช่น นโยบายของรัฐบาลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานของเรา เราจะต้องดูรายละเอียดทั้งหมดว่ามีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน และงานที่เราคิดจะทำมันมีอนาคตแค่ไหน มันอาจประสบความสำเร็จทางการเงิน แต่งานอาจจะออกมาไม่ดี ไม่มีอนาคต ไม่มีความผูกพันต่อตัวสินค้าหรืองานที่ทางเราจัดขึ้นทุกปี อย่างเช่นเราจัดคอนเสิร์ตเมื่อ 5 ปีที่แล้วเริ่มต้นธุรกิจโดยจัดโชว์ที่มี สุชาติ ชวางกูร ต่อมาจัดคอนเสิร์ตศิลปินกลุ่มมี พี่ติ๊ก ชีโร่ พี่ตุ้ม ศรีศไล สุชาตวุฒิ ฯลฯ ซึ่งคอนเสิร์ตของเราประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ในแง่ของ Brand Loyalty ต่อตัวงานน้อยมาก กลับไปอยู่กับตัวศิลปินมากกว่า ดังนั้นตัวงานคอนเสิร์ตแค่เป็นตัวเชื่อมเท่านั้น เราจะต้องนับหนึ่งใหม่ตลอดเวลา ในการจัดคอนเสิร์ตจึงเป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่าเหตุผล เพราะฉะนั้นวันไหนแดดออก คนติดธุระ หรือว่าอารมณ์ไม่ดีปุ๊บ คนดูตัดสินใจทันทีเลย ไม่มาดูอะไรอย่างนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าถึงแม้จะมีตัวเลขกำไรที่ดี เราก็จะไม่เดินต่อ แต่ไม่ได้บอกว่าไม่สำเร็จ ถ้าเราจัดอีกเราก็ทำได้ดี เพียงแต่ในแง่ธุรกิจแล้วตัวแปรแบบนี้ควบคุมยาก
ในฐานะที่ภูษิต ศศิธรานนท์ เป็นผู้นำองค์กรเอ็กซ์โปลิงค์ฯ ที่ทำธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องเผชิญอุปสรรคปัญหาต่างๆมากมาย เขามีวิธีจัดการปัญหาดังนี้ “ผมก็ไม่รู้ เพราะผู้นำแต่ละคนมีการปฏิบัติที่แตกต่างกัน มีทฤษฎีผู้นำแตกต่างกันหลากหลาย แต่สำหรับผม วันหนึ่งมันมีเรื่องที่ไม่ดี 80 เปอร์เซ็นต์ มีข่าวไม่ดีเยอะมากในวันแรกและมีข่าวที่ต้องทำใจ 80 เปอร์เซ็นต์ แต่มี 20 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นข่าวที่สำเร็จหรือดี ถึงแม้จะดีแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ท้อใจ แต่เราเป็นผู้นำในองค์กร เราไม่ต้องไปเทียบกับคนอื่น เราก็ดูว่าการเป็นผู้นำ พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แก้ไขทันท่วงที มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ทำตัวเป็นตัวอย่างแล้วทำให้เขาก่อน คนเราก่อนที่จะได้ ต้องรู้ที่จะให้ก่อนเสียสละก่อน เช่น งาน THAIFEX ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก สังเกตได้ว่า เวลาทำงาน เหมือนเอ็กซ์โปลิงค์ที่จะยอมไม่ออกหน้าก่อนแต่จะให้เกียรติทางโคโลญแมสเซ่ เขาใหญ่กว่า ชื่อเสียงเขาดีกว่า เรามุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานมากกว่าท้ายสุดงานก็สำเร็จด้วยดี โดยเฉพาะในแง่ของเอ็กซ์โปลิงค์ต้องเอางานก่อน เสร็จแล้วมาพนักงานต้องได้ก่อน ผมได้เป็นคนสุดท้าย”

เอ็กซ์โปลิงค์ ดำเนินธุรกิจงานและแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ย่อมเกี่ยวพันกับคนมากมาย ภูษิต ย่อมมีหลักการในการทำงานและบริหารบุคคลดังนี้ “ขอกล่าวถึง คนที่เป็นผู้จัดการก่อน กลุ่มนี้มีหน้าที่ 2 อย่างคือ
1.สร้างความสำเร็จของงาน
2.สร้างความสำเร็จให้ลูกน้อง
เพราะว่าเราต้องสร้างคน ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม นโยบายบริษัทก็คือว่า พยายามสร้างคนใหม่ มีข้อสังเกตของผมเองได้ว่า ผมไปสอนหนังสือ ก็รับลูกศิษย์เข้ามาเต็มเลย และก็จะพยายามสร้างคน ให้คนเก่ง เพราะคนเก่งจะแทนที่ และผมก็พยายามจะไม่ลงรายละเอียด จะพยายามเหนื่อยที่จะสอนก่อนเปิดโอกาสให้เขาทำงาน
เมื่อ 5 ปีแรก ในการตั้งบริษัท ผมไปดูรายละเอียดการทำงานเยอะมาก จะสังเกตว่าผมจะไปเยี่ยมลูกค้า ไปเพื่อมุ่งเรื่องงานเยอะมาก เพื่อให้บริษัทอยู่รอด
ใน 5 ปีถัดมา หลังจากร่วมทุนกับโคโลญแมสเซ่ ผมพยายามสร้างผลงาน จากตอนแรกสร้างงานก่อน เพื่อพยายามให้งานสำเร็จให้ได้
ใน 5 ปีหลัง พยายามสร้างผลงานเพื่อขยายธุรกิจ
จนถึง 5 ปีถึงทุกวันนี้ พยายามสร้างคน ให้คนไปทำงาน และพยายามจะหาบทบาท ว่าผมจะไปสนับสนุนลูกน้องผมอย่างไรเพื่อทำงานให้ประสบความสำเร็จ”
ก้าวชีวิตในการงานของคนย่อมแตกต่างกัน มีเปลี่ยนแปลงทั้งขึ้นและซบเซาลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูษิต ศศิธรานนท์ ย่อมผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ให้ข้อคิดถึงเป้าหมายในชีวิตว่า “ในช่วงชีวิตแรกๆ ที่ทำธุรกิจ ก็พยายามสร้างงานให้บริษัทอยู่ตัวและก็พยายามดูแลพนักงานให้รอด เพราะปัจจุบันก็ค่อนข้างอยู่ตัวพอสมควร ก็ดูว่าจะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์ให้คนอื่นบ้าง
ได้มีโอกาสมาสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ศิลปากร นิด้า ฯลฯ เป็นอาจารย์บรรยายตามสถานที่ต่างๆ ได้ไปทำงานให้สังคมเยอะขึ้น เช่น งานของหอการค้าไทย ช่วยดูแลกิจกรรมในด้านการแสดงสินค้า เป็นการส่งเสริมกิจกรรมสมาชิก ก็ได้ไปทำมากมาย และงานด้านการกุศลต่างๆ เช่น จัดคอนเสิร์ตการกุศลให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลของกองทัพเรือ ก็ได้ไปทำตรงนั้นเพิ่มเข้ามา
ในแง่ครอบครัว ก็พยายามให้การศึกษาลูกให้ดีที่สุด อะไรที่จะทำให้กับลูกคือ ส่งลูกชายไปเรียนอังกฤษ พอดีเขาได้ Offer จาก University Of St.Andrews มหาวิทยาลัยเก่าแก่อันดับ 3 ของโลก ครอบครัวจึงสนับสนุนและก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง
ในส่วนตัวลึกๆ มีชีวิตเรียบง่าย ชอบการแต่งเพลง โดยมีเพลงที่แต่งประมาณ 17-18 เพลง ให้บริษัทลิขสิทธิ์เพลงไทยดูแลอยู่ นับเป็นความชอบส่วนตัว
จึงสรุปได้ว่าผมพยายามจะบริหารชีวิตให้ลงตัว ทั้งงานและชีวิต โดยมีแนวคิดใหม่ๆ มีทักษะด้านเทคนิค มีมนุษย์สัมพันธ์ดี และมีความสมบูรณ์ของครอบครัว

ในแวดวงธุรกิจ ภูษิต ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่มีความเป็นครู พร้อมให้ความรู้ ผู้อื่นตลอดเวลา เพราะเป็นผู้ซึ่งมีความรู้และเฉียบคมในธุรกิจด้านนี้ สอนทั้งในสถาบันศึกษา และเป็นวิทยากรในสถานที่และวาระต่างๆ แล้ว เขายังมีข้อแนะนำสำหรับคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจว่า“ก็คงแนะนำว่าประสบการณ์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ของผม มันเทียบเคียงได้ แต่ไปแนะนำให้ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาทำไม่ได้ แต่ว่าคนที่จะทำธุรกิจ ต้องมีสิ่งเหล่านี้คือ
1.มีพื้นฐานเป็นการศึกษาก่อน เป็นนักศึกษาที่ต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะว่าคุณหยุดเรียนรู้ คุณคิดว่า คุณพอแล้ว คุณก็จะถอยหลัง มีทัศนคติที่แคบ
ฉะนั้น คนที่จะทำธุรกิจ ผมไม่เห็นใครที่จะหยุดการเรียนรู้ คุณต้องมีนิสัยรักการเรียนรู้ก่อน รักการอ่าน การสอบถาม การหาข้อมูลที่เป็นที่เชื่อถือได้ จากการหาข้อมูลจากหลายแหล่ง คุณต้องเป็นนักเรียนรู้ก่อน
2.การเป็นนักเรียนรู้ยังไม่เพียงพอ คุณต้องเป็นนักปฏิบัติที่ดี มีพันธมิตรมากมาย คุณต้องปฏิบัติและรู้จักคนหลากหลายและธุรกิจต่างแบบ ลงลึกซึ่งงานต่างๆ มีความยาก หรือความท้าทายที่จะต้องติดต่อประสานงานกับคนหลากหลาย และเริ่มโครงการใหม่ๆ อยู่ตลอด
ธุรกิจจึงจะมีความสามารถในการแข่งขันและอยู่ได้ คุณต้องคิดแบบเด็ก แต่ทำแบบผู้ใหญ่ คุณต้องเริ่มจินตนาการที่บรรเจิดก่อนโดยไม่มีข้อจำกัด เพราะว่าคุณคิดนอกกรอบ คุณก็จะเริ่มไม่เหมือนคนอื่น คุณก็เริ่มจะระมัดระวัง คุณต้องคิดด้วยจินตนาการ และคุณก็ต้องไปหาทางทำงานแบบผู้ใหญ่ เพื่อเอากรอบจินตนาการคุณมาใส่กรอบ แล้วต้องปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ แผนทุกอย่าง มันคิดได้เท่ากัน ใกล้เคียงกัน และการทำงานต่างหากมันจะเป็นเครื่องวัด คุณต้องมีวิธีการทำงาน การทำงานคุณต้องทำอย่างฉลาด อดทน ขยัน หมั่นเพียร เป็นพื้นฐาน แต่ว่าคุณต้องทำแบบคนฉลาด แต่ต้องฉลาดแบบใช้ปัญญา เมื่อมีปัญญา คุณก็ต้องหัดมีศีลสมาธิก่อน คิดในแง่ดีแล้วก็เกิดปัญญา แล้วคิดว่าวิธีไปถึงเป้าหมายมันมีหลากหลายวิธี
ในแต่ละกรณีก็มีวิธีที่ดีที่สุด วิธีที่แย่ที่สุดด้วย วิธีที่กลางๆ วิธีที่อะไรแล้วแต่ละวิธี มันมีผลที่สำเร็จแตกต่างกันด้วย คุณก็ต้องไปพยายามดูทางเลือกตรงนั้นด้วย
แล้วทำแบบมุ่งมั่น เมื่อคุณทำแล้ว คุณทำสำเร็จคนเดียวไม่ได้ แล้วคุณก็ต้องไปดูเพื่อนร่วมงานด้วย เพราะเพื่อนร่วมงานของคุณมีส่วนในการผลักดัน ให้คุณสำเร็จ อย่างเอ็กซ์โปลิงค์ คนที่เข้ามาทำงานช่วง 2-3 ปีแรก ถ้าทนไม่ได้จะอยู่กับเราไม่ได้เลย แต่ถ้าอยู่ได้จะอยู่กับเรานานมาก เพราะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข สังเกตได้ว่า อย่างเวลาทำงานเราจะอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน แล้วเราจะทำอย่างไรให้ที่ทำงานเป็นวิมาน แล้วที่บ้านเป็นสวรรค์ จึงต้องปรับตัวกันสูงมาก เมื่อเราจัดการชีวิตลงตัวแล้ว เราก็สามารถทำอะไรที่จะประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น” ภูษิต ศศิธรานนท์ กล่าวสรุปทิ้งท้าย
เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันแต่ละปี เป็นบทสรุปที่ชัดเจนแก่ ภูษิต ศศิธรานนท์ การทำงานต้องขยัน ซื่อสัตย์ อดทน และที่สำคัญคือ ต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ธุรกิจก้าวหน้าเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างบารมีธุรกิจที่ใหญ่ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกด้วย.

Comments