top of page
ค้นหา

จับตาทิศทาง “สิงห์” กับผู้นำทัพ “ภูริต ภิรมย์ภักดี” ทายาทเจเนอเรชั่นที่ 4 พลิกโฉมผลิตภัณฑ์“นอน-แอลกอ

  • credit : ธุรกิจก้าวหน้า ฉบับที่ 308 ตุลาคม 57
  • 11 เม.ย. 2558
  • ยาว 3 นาที

26-27.jpg

บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เป็นบริษัทที่สำคัญในเครือของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลธุรกิจเครื่องดื่มและรับผิดชอบในการบริหารและทำการตลาดของผลิตภัณฑ์เบียร์ โซดา น้ำดื่ม ชาเขียวพร้อมดื่ม และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “สิงห์” “ลีโอ” “ไทเบียร์” และ “บีอิ้ง” กว่า 80 ปี บนถนนสายอำพันของ “สิงห์” ได้เปลี่ยนทายาทดูแล บริหารธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 4 เรียกได้ว่าเป็นรุ่นเหลนของตระกูลภิรมย์ภักดี

ที่ผ่านมาสิงห์ลิงโลดกับชัยชนะของการเป็นเบียร์เบอร์ 1 ของไทย ครองส่วนแบ่งการตลาดเฉียด 90 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่ในปี 2540-2541 จะเพลี่ยงพล้ำให้กับแบรนด์อื่นไปบ้างแต่สามารถตีตื้นกลับมารั้งตำแหน่งผู้นำตลาดได้อีกครั้ง จนถึงทุกวันนี้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นการอยู่ในตลาดเครื่องดื่มทุกวันนี้จะเน้นเฉพาะกลุ่มแอลกอฮอล์อย่างเดียวคงไม่ได้แล้ว สิงห์ คอร์ปอร์เรชั่น จึงต้องปรับจุดยืนด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์ ขึ้น

ผู้มีบทบาทมากที่สุดในกลุ่มทายาทรุ่นเหลนของพระยาภิรมย์ภักดี คือสองพี่น้องบุตรชายของ “สันติ” นั่นก็คือ “ภูริต” (ชื่อเดิมคือ สันต์) และ “ปิติ” ที่เข้ามารับช่วงต่องานสำคัญ และกำลังเข้าสู่ช่วงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ โดย ปิติ ภิรมย์ภักดี ดูแลบริหารกลุ่มแอลกอฮอลล์ สำหรับ ภูริต ภิรมย์ภักดี ทายาทคนโต ถูกวางตัวให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารและผู้อำนวยการสายการตลาดดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์ นอน-แอลกอฮอล์ พร้อมกับตั้งหน่วยงาน Business Innovation Center หรือ BIC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด และจุดเริ่มของการเปิดตลาดเชิงรุกธุรกิจ นอน-แอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจุบันสินค้าในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์ของสิงห์จะมีโซดา น้ำดื่มสิงห์ เครื่องดื่มสุขภาพบีอิ้ง น้ำแร่เพอร์ร่า ชาเชียวโมชิ สาหร่ายมาชิตะ และ เครื่องดื่มเกลือแร่ซันโว

จะเห็นได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาน้ำดื่มสิงห์ครองตลาดน้ำดื่มมาอย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งตลาด 30 เปอร์เซ็นต์ และมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดตลอดมา และมีเซกเมนต์ที่มีการเติบโตสูงสุดในตลาดเครื่องดื่ม เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และจากเหตุผลที่น้ำดื่มเป็นสินค้าที่มีผู้บริโภคนิยมดื่มมากที่สุด ทำให้ทุกค่ายที่ผลิตน้ำดื่มต้องปรับกลยุทธ์ พร้อมทั้งมีความเคลื่อนไหวทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางค่ายสิงห์เองได้ออกแคมเปญเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของธุรกิจน้ำดื่มมาโดยตลอด

30A.jpg

ความคึกคักและความหลากหลายในตลาดเครื่องดื่มสุขภาพมีการแข่งขันซึ่งขยายวงกว้างออกไป เมื่อมีผลิตภัณฑ์ชาเขียวออกมา และตลาดชาเขียวได้ขยายวงกว้างในการแข่งขัน สิงห์ก็เป็นอีกหนึ่งค่ายที่ส่งเครื่องดื่มชาเขียวแบรนด์ โมชิ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มตัวแรกในกลุ่มนอน-แอลกอฮอลล์ของค่ายสิงห์ ที่แตกไลน์ออกมาทำอย่างจริงจัง เพื่อหวังให้รายได้จากชาเขียวไปปรับสัดส่วนรายได้ของเบียร์ที่ลดลง แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระแสการตอบรับเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้

ในปีนี้ ค่ายสิงห์ทุ่ม 80 ล้านปรับโฉมบีอิ้งใหม่ หลังจากที่ออกมาอวดโฉมกับผู้บริโภคเมื่อปี 2550 โดยจับกลุ่มผู้หญิงวัย 25 ปีขึ้นไป และมีกระแสตอบรับดี มาวันนี้ สิงห์ปรับโฉมบีอิ้งใหม่ พร้อมกับดึง “คิมแทยอน” ศิลปินสาวจากวง Girl Generation มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้แก่บีอิ้งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น โดยเฉพาะ “บีอิ้ง-คอลลาเจน” ซึ่งส่วนผสมที่สำคัญคือคอลลาเจนที่มีคุณสมบัติพิเศษจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีโมเลกุลขนาดเล็กเพียง 1,000 Delton สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นด้านรสชาติน้ำผลไม้ อร่อย ไม่มีกลิ่นคาว พร้อมปริมาณคอลลาเจนถึง 1,700 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอและอี ที่ช่วยเรื่องผิวพรรณ ลดริ้วรอย ลบจุดด่างดำและมีส่วนผสมของอะเซโรร่าเชอรี่ที่มีวิตามินสูงกว่าส้ม 30-80 เท่า ซึ่งจะช่วยสังเคราะห์คอลลาเจนในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น จากการปรับเปลี่ยนแผนครั้งใหญ่นี้ กลุ่มสิงห์คาดว่า บีอิ้ง น่าจะมีส่วนแบ่งในตลาด Functional Drink เพิ่มขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 800 ล้านบาท เมื่อถึงสิ้นปี 2557 นี้

ตลาดกลุ่ม Functional Drink ของกลุ่มสิงห์น่าติดตามมากยิ่งขึ้น เมื่อมีการรุกตลาดโดยส่งเครื่องดื่มเกลือแร่น้องใหม่ “ซันโว” เข้าสู่ตลาดน้ำเกลือแร่ หวังเจาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยสิงห์ทุ่มงบกว่า 150 ล้านบาท ในการทำการตลาด และเลือก บัวขาว-สมบัติ บัญชาเมฆ นักมวยดัง เป็นพรีเซ็นเตอร์

33A.jpg

ภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการและผู้อำนวยการสายการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์นอน-แอลกอฮอลล์ บริษัท สิงห์คอร์เปอเรชั่น เปิดเผยว่า ซันโว เป็นแบรนด์เกลือแร่รายล่าสุดที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งจากภาพรวมของธุรกิจของบริษัท ซึ่งเดิมมีเพียงสาหร่ายมาชิตะ ข้าวพันดี น้ำดื่มสิงห์ โซดาสิงห์และบีอิ้ง สำหรับซันโวจะมีให้เลือก 2 รสชาติคือ รสมิกซ์ฟรุต และรสมิกซ์เบอร์รี่ ผลิตจากน้ำแร่ธรรมชาติ ในขนาด 250 มิลลิลิตร ราคาขวดละ 10 บาท มุ่งเจาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน 70 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย 30 เปอร์เซ็นต์ โดยเลือกบัวขาว-สมบัติ บัญชาเมฆ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้สโลแกน “เครื่องดื่มเกลือแร่ซันโว ซันโวทุกโอกาส” เพื่อสื่อถึงความเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ และเข้าถึงผู้บริโภคได้หลายกลุ่ม

“ทั้งนี้จะใช้งบการทำตลาดกว่า 150 ล้านบาท ในการเปิดตัวซันโว ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออินเตอร์เน็ต การทำแบรนด์ แอกทีเวชั่น การทำโรตโชว์ และการแจกสินค้าทดลองให้ดื่มกว่า 2 ล้านขวดทั่วประเทศ เพื่อให้กลุ่มผู้บริโภคได้ทดลองชิม หลังจากที่ได้ทดลองวางจำหน่ายไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผ่านช่องทางเทรดดิซันนัลเทรด 70 เปอร์เซ็นต์ และโมเดิร์นเทรด 30 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ช่องทางเดียวกับกลุ่มเบียร์ และยังได้เพิ่มหน่วยรถกระจายสินค้ากว่า 200 คัน สำหรับส่งสินค้าภายในกรุงเทพฯและปริมณฑล อย่างไรก็ตามคาดว่าภายในสินปีนี้ได้วางเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ 15-20 เปอร์เซ็นต์ และจะทำให้รายได้ของกลุ่มนอน-แอลกอฮอลล์เพิ่มขึ้นเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ในอีก 3 ปีข้างหน้า” ภูริต กล่าว

แม้จะใช้ภาพของนักมวยชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่แผนการตลาดของซันโว กลับมุ่งเน้นไปที่การเจาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ต้องการเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่นมากกว่าจะให้น้ำหนักไปที่ผู้ออกกำลังกาย จากข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งของตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ออกกำลังกายแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงใช้กลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเป็นกลไกในการขยายการรับรู้ ซึ่งในกรณีของซันโวก็ไม่มีข้อยกเว้น หากต้องเข้าเป็นผู้สนับสนุนกอล์ฟ หลังจากสนับสนุนฟุตบอลมาแล้ว

ทั้งนี้ เป้าหมายการเติบโตของซันโว ไม่ได้ถูกกำหนดให้ต้องต่อสู้กับแบรนด์ที่ครองในตลาดมานานอย่างสปอนเซอร์ ที่ครองส่วนแบ่งมากถึง 75-80 เปอร์เซ็นต์ หากแต่มุ่งที่จะเข้าเป็นอันดับสอง เบียดชิงกับเอ็มสปอร์ตที่ระดับ 15-20 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่ารวมตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ประเมินว่ามีมากถึง 4,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากที่ผู้บริโภคสนใจเรื่องสุขภาพและให้ความสนใจในการออกกำลังกายมากขึ้น

ภูริต ภิรมย์ภักดี ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันตลาดฟังก์ชั่นนอลดริ๊งค์ชนิดพร้อมดื่มมีการเติบโตค่อนข้างมาก และเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะกระแสรักสุขภาพจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นตลาดให้เติบโตได้มาก ซึ่งสิงห์วางกลยุทธ์และแผนสำหรับ 5 ปีข้างหน้าไว้ที่ การขยายกลุ่มธุรกิจนอน-แอลกอฮอลล์ หรือเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอลล์ในสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ต้องเปิดตัวสินค้าใหม่ 10 รายการต่อปี ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มนอน-แอลกอฮอลล์มีสัดส่วนรายได้เพียง 12 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

สำหรับตลาดสาหร่ายก็ยังมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งค่ายสิงห์ยังคงให้“คยูฮยอน”เป็นพรีเซ็นเตอร์เช่นเดิม

ภูริต ภิรมย์ภักดี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายปรุงรส ซึ่งประกอบด้วย 4 เซ็กเมนต์ มูลค่ารวม 2,813 ล้านบาท เติบโต 40 เปอร์เซ็นต์ ประกอบด้วยกลุ่มสาหร่ายทอด 70 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มสาหร่ายอบ 20 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มสาหร่ายย่าง 8 เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆ 2 เปอร์เซ็นต์ เถ้าแก่น้อย 60 เปอร์เซ็นต์ มาชิตะ 15 เปอร์เซ็นต์ ซิลิโกะ 9 เปอร์เซ็นต์ โอโนริ 8 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเซ็กเมนต์สาหร่ายทอดซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 2 พันล้านบาท มาชิตะ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 21 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นอันดับ 2 ในเซ็กเมนต์ หลังจากเปิดตัวแบรนด์มาชิตะ พบว่า กลุ่มสาหร่ายทะเลย่างเป็นเซ็กเมนต์ที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาโดยตลอด โดยในปีที่ผ่านมาเซ็กเมนต์นี้เติบโตขึ้นถึง 36 เปอร์เซ็นต์

ภูริต กล่าวต่อว่า มาชิตะเล็งเห็นศักยภาพในเซ็กเมนต์นี้ จึงตัดสินใจเปิดตัวผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลย่างมาชิตะรสซอสเกาหลีและมาชิตะรสหมึกย่างเกาหลีสามรส เพื่อมาเสริมทัพผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสาหร่ายทอดที่มีอยู่เดิม 3 รสชาติ ได้แก่ รสออริจินัล รสสไปซี่ และรสสไปซี่บาร์บีคิวเกาหลี ซึ่งผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลย่างมาชิตะรสซอสเกาหลีและมาชิตะรสหมึกย่างเกาหลีสามรส ผลิตขึ้นจากสาหร่ายคุณภาพสูงจากประเทศเกาหลี ผ่านกระบวนการผลิตที่ทันสมัยและพิถีพิถัน จนได้สาหร่ายทะเลย่างที่มีความหอมของสาหร่ายแท้ๆ ทั้งยังมีความกรอบโดนใจ และให้รสชาติเข้มข้นถูกใจผู้บริโภคตั้งแต่สัมผัสแรกที่ได้ลิ้มลอง

28.jpg

“สำหรับแผนการตลาดของปี เราเตรียมงบประมาณไว้กว่า 100 ล้านบาท ในการแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอายุ 18-25 ปีที่ชื่นชอบการบริโภคขนมขบเคี้ยวรสชาติเข้มข้นได้ทำความรู้จักและลองชิม โดยยังคงใช้ “คยูฮยอน” นักร้องชาวเกาหลี สมาชิกวงซูเปอร์จูเนียร์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง เพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ความเป็นสาหร่ายเกาหลีแท้ๆ ไปยังผู้บริโภคต่อเนื่อง

อีกทั้ง เรายังมีกิจกรรมการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ การสื่อสารผลิตภัณฑ์ผ่านภาพยนตร์โฆษณา และการออกโรดโชว์ตามสถาบันการศึกษาทั่วกรุงเทพฯ รวมถึงในแหล่งช็อปปิ้งกลางใจเมือง การแจกผลิตภัณฑ์กว่า 2 ล้านชิ้น การเข้าถึงผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์ In Store Market ทั้งการใช้สื่อโฆษณาและกิจกรรมกับผู้บริโภค ณ จุดขาย รวมถึงการเสนอโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเข้ามาใกล้ชิดกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น30-35 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตลาดสาหร่ายยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบขนมขบเคี้ยวที่มาจากพืช” ภูริต กล่าว

ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจร้านอาหารก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สิงห์ได้ให้ความสนใจ โดยเฉพาะมุ่งขยายเจาะตลาดธุรกิจอาหารแบบครบวงจร ด้วยการตั้งบริษัท ไฟน์ ฟู้ด แคปปิตอล รุกธุรกิจอาหารเต็มรูปแบบ พร้อมวางเครือข่ายต่างประเทศ โดยในปี 2558 จะเปิดสาขาในประเทศอังกฤษถึง 5 สาขา และขยายให้ได้ 50 สาขาในช่วง 5 ปีถัดไป โดยมุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำตลาดเครือข่ายร้านอาหารไทยโดยใช้แบรนด์สิงห์เป็นเครือข่าย เพื่อเข้าถึงลูกค้าตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

เช่นเดียวกับ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งความสนใจของค่ายสิงห์ หลังจากกลุ่มสิงห์ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ โดยเข้าซื้อกิจการของรสาพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลอปเม้นท์ โดยทุ่มเงินกว่า 8,000 ล้านบาท และได้มีการประมูลที่ดินของสถานทูตญี่ปุ่นเดิมบริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี ได้จำนวน 9 ไร่ และที่ดินขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (ไจก้า) อีก 1 ไร่เศษ บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี เพื่อนำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่อไป ขณะที่รูปแบบโครงการจะเป็นการพัฒนาแบบผสมผสานทั้งศูนย์การค้าและที่อยู่อาศัย นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งของกลุ่มสิงห์

นอกจากนี้ บริษัท สิงห์ เทรนด์ จำกัด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริษัทลูก ซึ่งวางแนวทางเป็นการทำตลาดในเชิงไลฟ์สไตล์ เพื่อดำเนินธุรกิจสินค้าแฟชั่นเสื้อผ้า ภายใต้แบรนด์ “สิงห์ ไลฟ์” ที่ประเดิมเปิดชอปสาขาแรกที่ สยามเซ็นเตอร์ โดยเน้นเสื้อผ้าผู้ชายเป็นหลัก ซึ่งความสำคัญของการแตกธุรกิจทางด้านแฟชั่นนั้น เป็นการวางหมากกลยุทธ์การขยายตราสินค้ามาใช้ทางด้านการสื่อสารการตลาดที่จะสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยวางแผนการตลาดในการมุ่งเน้นการสื่อสารและการสร้างแบรนด์เป็นหลัก พร้อมทั้งเข้าไปมีส่วนร่วมในวงการแฟชั่น การจัดกิจกรรมการประกวด และเป็นเครื่องมือการสื่อสารการตลาดเพื่อผลักดันให้สิงห์เป็นอินเตอร์แบรนด์ในระดับโลกภายในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยมีแผนเปิดชอปในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเบียร์สิงห์ส่งออก 47 ประเทศทั่วโลก

35-(2).jpg

สิงห์ไลฟ์ มีสินค้า 3 กลุ่ม คือ สิงห์เวิร์ก, สิงห์ เพลย์ และสิงห์ เลดี้ รวมทั้งมีแผนจะเพิ่มไลน์สินค้าเป็น สิงห์ สปอร์ต และต่อยอดจากโครงการ สิงห์ไลฟ์ อวอร์ด ทำเป็นคอลเลคชั่นพิเศษขึ้นมาด้วย ล่าสุดบริษัทแตกไลน์กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นจากเบียร์ โดยเป็นการต่อยอดทางธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจเบียร์มากขึ้น ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่โดยสินค้าจะวางจำหน่ายในร้านสิงห์ไลฟ์ ก่อนหน้านี้ได้ทดลองวางจำหน่ายมาระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าปลายปีนี้จะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ นำร่องด้วย แชมพูและสบู่ จากนั้นจะขยายไปสู่สินค้ากลุ่มอื่นๆ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง และจัดเป็นสินค้าอีกกลุ่มธุรกิจในนอน-แอลกอฮอลล์

อีกทั้ง ค่ายสิงห์ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบ 84 ปี ภูริต ภิรมย์ภักดี หนึ่งในทายาทธุรกิจเปิดเผยว่า สิงห์ ได้ดึงบริษัท เบน แอนด์ คัมปะนี จำกัด (Bain&Company) ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจที่ปรึกษาและการจัดการธุรกิจระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เข้ามาเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ ในการปรับโครงสร้าง วางกลยุทธ์ และสร้างสายสัมพันธ์ (คอนเนคชั่น) กับพันธมิตรทางธุรกิจ ขับเคลื่อนกลุ่มสิงห์สู่เวทีโลก ซึ่ง เบนฯ ยังจะเป็นช่องทางสำคัญในการนำพันธมิตรทางธุรกิจมาเสนอ โดยสิ่งห์ได้แจ้งความประสงค์ว่า สนใจที่จะเป็นพันธมิตรและร่วมทุนกับบริษัทที่อยู่ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage:F&B) โดยคุณสมบัติเด่นของพันธมิตรจะต้องเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของธุรกิจนั้นๆ เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส จริงใจ ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ที่สำคัญคือจะต้องไม่ดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันเรื่องเสื่อมเสียมาถึงองค์กรที่มีอายุกว่า 80 ปีอย่างสิงห์

ภูริต ภิรมย์ภักดี ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ได้เจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศอยู่หลายดีล ทั้งรูปแบบที่สิงห์สนใจไปเจรจาเอง และเบนฯเป็นผู้เสนอมาให้ โดยจะเปิดกว้างในการเจรจา แต่หากเป็นไปได้จะเจรจาแค่บริษัท 1 ใน 2 อันดับแรก (TOP2) ของธุรกิจนั้นๆ โดยหากสิ้นปี 2557 นี้ สิงห์ปรับโครงสร้างธุรกิจรอบ 3 แล้วเสร็จ คาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตเท่าตัว หรือดับเบิลยอดขายภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นยอดขาย 200,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดขายกว่า 100,000 ล้านบาท สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่วางไว้ว่าทุกๆ 5 ปี ยอดขายจะต้องเติบโตเป็นดับเบิลและภายใน 15 ปี จะมีรายได้แตะระดับ 1 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัท เบนฯ มีสำนักงาน 50 แห่ง ใน 32 ประเทศทั่วโลก และทำงานร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกมากกว่า 500 บริษัท และองค์กรท้องถิ่น องค์กรระดับภูมิภาค กว่า 1,000 แห่ง เป็นตัวแทนผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวท ฟันด์) คิดเป็นสัดส่วน 75 เปอร์เซ็นต์ ของเงินทุนทั่วโลก ในส่วนของสิงห์ ที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับบริษัท มิตซุย ฟุโดซัง (เอเชีย) ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ ร่วมทุนกับบริษัท มารุเซน ผู้ผลิตวัตถุดิบชาเชียว และธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่จากญี่ปุ่น รายใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น

ภูริต ภิรมย์ภักดี ยังกล่าวด้วยว่า การดึงบริษัทเบนฯ มาเป็นที่ปรึกษา ยังถือเป็นการปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่รอบที่ 3 ภายในระยะเวลา 84 ปี ของการก่อตั้งบริษัท นอกจากนี้ สิงห์ยังตั้งธรรมนูญครอบครัวเป็นครั้งแรก เพื่อให้ทายาทตระกูล “ภิรมย์ภักดี” เข้ามาดูแลธุรกิจร่วมกันและแบ่งผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน

“ปัจจุบัน สิงห์มีธุรกิจในเครือทั้งสิ้น 64 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 5 ปีก่อนที่มีบริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท และรายได้กว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจเบียร์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วน 80 เปอร์เซ็นต์ และนอน-แอลกอฮอลล์อยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ โดย 1-2 ปีข้างหน้า คาดว่ารายได้จากนอน-แอลกอฮอล์จะเพิ่มเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ตามเป้าหมายที่วางไว้” ภูริต กล่าว

ผู้บริหารหนุ่มหนึ่งในทายาทธุรกิจกลุ่มสิงห์ ยังบอกอีกว่า 5 ธุรกิจหลักคือทิศทางของสิงห์ในอนาคต โดยเวนเจอร์โคจะมีบทบาทสร้างการเติบโตอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันธุรกิจที่อยู่ภายใต้เวนเจอร์โค ได้แก่ เสื้อผ้า และบริษัทยังไม่มีการนำรายได้มารวมกัน ส่วนแนวทางการดีลธุรกิจของสิงห์ ไม่จำเป็นว่าสิงห์จะต้องถือหุ้นใหญ่ 70 เปอร์เซ็นต์ ถือ 30 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ ขอให้สบายในทั้ง 2 ฝ่าย และจะไม่เทคโอเวอร์เพื่อเข้าไปใหญ่ แต่จะมุ่งซินเนอร์ยีทำให้หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม ให้บริษัทมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้สิงห์จะอยู่ระหว่างดีลธุรกิจจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีแผนจะนำบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุน โดยยืนยันว่าบริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และหากจำเป็นต้องใช้งบลงทุนจำนวนมาก ก็สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศได้

ภูริต ภิรมย์ภักดี กล่าวด้วยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทวางแผนจะทำตลาดต่อเนื่อง สอดรับกับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจและกำลังซื้อที่นิ่งขึ้น รวมทั้งจัดแคมเปญต่างๆ การขยายธุรกิจร้านอาหาร EST.33 เพิ่มเติม เพื่อผลักดันยอดขายสินค้าสินปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 1.1-1.2 แสนล้านบาท เติบโต 10-15 เปอร์เซ็นต์

32-(2).jpg

ปัจจุบันการบริหารงานของสิงห์มีบุคลากรที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามามาก โดยเฉพาะในส่วนของนอน-แอลกอฮอลล์ และสำนักงานนวัตกรรมทางธุรกิจ ความท้าทายจึงไม่ใช่แค่เรื่องคิดผลิตภัณฑ์ที่ใหม่ แต่เป็นเรื่องของการบริหารบุคคลด้วย

ภูริต ภิรมย์ภักดี กล่าวว่า แนวทางการบริหารงานของผมคือ ผสานความคิดของคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่เข้าด้วยกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารงานลง เพราะคนรุ่นใหม่มีความใจร้อนในการทำงาน ขาดประสบการณ์ ขณะที่คนรุ่นเก่าจะช่วยตรงนี้ได้ดี บริษัทเราไม่ทิ้งคนรุ่นเก่าเพราะคนเหล่านี้มีประสบการณ์ มีเหตุผลในการตัดสินใจ อาจไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงแต่ก็ยอมรับได้ถ้ามีเหตุผลเพียงพอ เราต้องหาเหตุผลมาคุยกับเขา

“ทางด้านสินค้าใหม่ สินค้าทุกตัวที่ออกมาผมภูมิใจหมด เพราะออกจากหน่วยงานของเรา แต่เราภูมิใจคนเดียวไม่ได้ ต้องให้ลูกค้าภูมิใจด้วย ผมจะบอกทุกคนไว้เสมอว่า เราไม่ได้ออกสินค้าที่ตัวเองชอบ แต่เราออกสินค้าที่ตลาดชอบ สินค้าตัวไหนขายไม่ดีผมจะเลิกทำ ไม่มองเรื่องความเสียหายของชื่อเสียงบริษัท แต่ผมมองเรื่องเสียเงินมากกว่า เราออกมา 10 ตัว ประสบความสำเร็จสองตัว ผมถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเราไม่มีสิทธิ์รู้ได้เลยว่าสินค้าที่ออกมาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องตัดออกไป อย่างเบียร์อาซาฮีที่ออกสินค้ามาหลายตัว ก็ประสบความสำเร็จแค่ 2 ตัว” ภูริต กล่าว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยควบคู่กับการเติบโตของบริษัท โดยการส่งเสริมให้มีการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ประกอบกิจกรรมทางสังคมที่เป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมไทยเป็นหลัก รวมถึงการสนับสนุนทางด้านการศึกษาและกีฬาทุกประเภท เพื่อเป็นการตอบแทนสังคมที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วยดีตลอดมา

ณ วันนี้ วันที่ผู้บริหารรุ่นเหลน หรือรุ่นเจเนอเรชั่นที่ 4 จะเข้ามาบริหาร แต่ไม่ว่าทีมบริหารจะเปลี่ยนไปกี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ตาม แนวทางการทำธุรกิจของสิงห์ก็ยังคงยึดหลัก “หัวใจ” คือความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของธุรกิจ ถึงแม้ว่าจะเจอวิกฤติรุนแรงแค่ไหนก็ตามสิงห์ย่อมรอดพ้นวิกฤติต่างๆ เหล่านั้นได้ตลอดกาล

34-(2).jpg

 
 
 

コメント


Follow "THIS JUST IN"
  • Facebook Basic Black
  • Twitter Basic Black
  • Google+ Basic Black

© 2015 by "Advanced Standard Group.co.ltd". All Right Reserved

| ADVANCED STANDARD GROUP CO., LTD. Tel. +662-881-3421-3

 

  • White Facebook Icon
  • White Instagram Icon
  • White Twitter Icon
  • White Google+ Icon
  • White Pinterest Icon
  • White YouTube Icon
bottom of page